Thursday, April 9, 2015

ความเข้าใจต่อลัทธิมาร์กซ...

 ความเข้าใจต่อลัทธิมาร์กซและสังคมนิยม

มีผู้อธิบายและให้คำนิยามของ ”สังคมนิยม”  ในบทนำของจุลสารเล่มหนึ่ง  เมื่ออ่านแล้วรู้สึกว่าผู้อธิบายไม่ได้แสดงเนื้อหาของสังคมนิยมอย่างแยกแยะและเป็นวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ออกจะค่อนไปตามความเข้าใจของตนที่ได้ยินได้ฟังและศึกษามาอย่างไม่ชัดเจน  การแสดงความคิดเห็นจึงกลายไปเป็นการวิพากษ์  ”ลัทธิขุนนางสตาลิน”   “ประชาธิปไตยรวมศูนย์”  “ลัทธิเหมา”  “การเปลี่ยนสีแปรธาตุของสังคมนิยม”  “การต่อสู้ด้วยอาวุธ”  “พคท”ฯลฯ    พร้อมกับเสนอแนวคิดของตนบางประการ    ซึ่งเป็นการนำแนวคิด ”โลกสวย” ของนักอุดมคติที่มีชีวิตอยู่ก่อนหน้าและร่วมสมัยกับมาร์กซเช่น   โทมัส มอร์    ฟูริเยร์    แซงต์ ซิมอง  โรเบิร์ต  โอเวน   และอีกหลายๆความคิดมาผสมผสมผสานกันซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือแนวคิดใหม่แต่อย่างใด      เพียงแต่อาศัยชื่อของสังคมนิยมกับชื่อของลัทธิมาร์กซ์มากลบเกลื่อนความคิดของตนที่มีความโน้มเอียงไปในแนวทางลัทธิ  ”สังคมนิยมปฏิรูป”   โดยรณณรงค์เรื่อง  “รัฐสวัสดิการ”  เป็นด้านหลักซึ่งเป็นไปได้ยากในสังคมไทยในปัจจุบัน      ผู้เขียนเองแม้จะได้ศึกษาลัทธิมาร์กซมาบ้างแต่ก็ขาดๆเกินๆและไม่ค่อยจะเป็นระบบนัก    จึงใคร่ขอชี้แจงความเข้าใจที่มีต่อลัทธิมาร์กซในประเด็นที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้

การเคลื่อนไหวของบรรดานักคิดทั้งหลายในสมัยของมาร์กซและก่อนหน้ามาร์กซที่กล่าวนามมาข้างต้น   เป็นที่รู้จักกันในนามของการเคลึ่อนไหวสังคมนิยม(อุดมคติ)  เพื่อที่จะจำแนกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสังคมนิยมที่เป็นวิทยาศาสตร์ของตนเป็นคนละอย่างกัน    มาร์กซจึงได้ประกาศตนและแนวคิดของตนว่าเป็นชาวคอมมิวนิสต์ในจุลสารเรื่อง  ”คำประกาศของชาวคอมมิวนิสต์”  พร้อมทั้งได้เสนอหลักในการที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมว่า   มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือต้องโค่นล้มชนชั้นผู้กดขี่รวมทั้งระบอบการปกครองของพวกเขาลงไปเสียก่อนจึงจะสามารถสร้างสังคมใหม่และขจัดสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ไปได้      

มาร์กซยังมีความเห็นว่ากำลังหลักในการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ที่พลังของชนชั้นกรรมาชีพ(proletariat)   ซึ่งเป็นชนชั้นผู้ไร้สมบัติทั้งมวลที่ขายแรงงานเพื่อการดำรงชีพ โดยมีกรรมกร(workers)ในโรงงานอุตสาห - กรรมสมัยใหม่เป็นกองหน้าในการเคลื่อนไหวต่อสู้     ชนชั้นนี้เป็นชนชั้นที่มาร์กซได้ค้นพบว่าเป็นคู่ความขัดแย้งโดยธรรมชาติของชนชั้นนายทุนในสังคมทุนนิยม       การต่อสู้นี้เป็นการต่อสู้ทางชนชั้น    มันจะดำรงอยู่ตลอดและจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งถูกโค่นล้มลงไปหรือไม่ก็สูญสลายไปทั้งคู่

หลังจากได้อำนาจรัฐแล้วชนชั้นกรรมาชีพจะต้องสถาปนาเผด็จการของชนชั้นตน ซึ่งเป็นประชาธิปไตย ของคนส่วนใหญ่มาแทนที่ประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนที่เป็นเผด็จการของคนส่วนน้อยขึ้นมาก่อน     เพื่อปกป้องรักษาดอกผลของการปฏิวัติว่าจะไม่ถูกทำลายไปหรือถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับชนชั้นนายทุนอีก เป็นการปูทางไปสู่การสร้างสรรค์สังคมที่ปราศจากการขูดรีดในลำดับต่อไป  ดังนั้นการตีความในประเด็น ”เผด็จการ” ควรจำแนกให้ชัดเจนถึงรากฐานความคิดทางปรัชญาของลัทธิมาร์กซให้ถ่องแท้เสียก่อนว่ามันหมายถึงเผด็จการของใคร  เป็นเผด็จการของชนชั้นทั้งชนชั้น?  หรือเป็นเผด็จการของกลุ่มบุคคล?    หรือเป็นเผด็จการเฉพาะของคนๆเดียว ?

จากมุมมองแบบนักมนุษยธรรมของนักสังคมนิยมอุดมคติเหล่านั้น   พวกท่านได้วิพากษ์วิจารณ์วิถีการผลิตของระบอบทุนนิยมอย่างรุนแรงเพราะได้เห็นถึงความเลวร้ายของมันที่ก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจ-สังคม   การกดขี่ขูดรีด   ความอยุติธรรม    ความยากจน  และความขาดแคลนทั้งปวง   แต่พวกท่านไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้  จึงเสนอแนวทางแก้ปัญหาโดยการสร้างสังคมใหม่ขึ้นตามจินตนาการของพวกท่าน มุ่งเน้นที่จะปรับปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการผลิตและความสัมพันธ์อื่นๆของสังคม    โดยหวังว่าจะสามารถว่าจะผ่อนคลายความขัดแย้งเหล่านี้ลงไปได้    โดยไม่ได้ให้ความความสำคัญและมองข้ามการต่อสู้ทางชนชั้น  ทั้งยังหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากชนชั้นปกครองและบรรดานายทุนทั้งหลายอีกด้วย

ชาวมาร์กซเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะเกิดขึ้นได้จากการปฏิวัติ   โดยเชื่อมโยงความพยายามทางอัตวิสัยเข้ากับกับความเป็นจริงทางภววิสัย      ภาระหน้าที่แรกสุดที่ชาวมาร์กซจำเป็นต้องกระทำคือการสร้างจิตสำนึกปฏิวัติให้แก่ชนชั้นกรรมาชีพซึ่งเป็นกองหน้าของการปฏิวัติ    ไม่ใช่วาดฝันอยู่กับความต้องการทางความคิดของตนแต่เพียงอย่างเดียว    ชาวมาร์กซเองก็จะต้องปรับปรุง  ทบทวน พัฒนาและยกระดับความรับรู้ทางทฤษฎี ประสบการณ์  และความจัดเจนของตนอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน     เพื่อจะได้นำความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในแง่มุมที่หลากหลายไปช่วยสร้างจิตสำนึกปฏิวัติให้แก่มวลชนนั้น 

สำหรับชนชั้นกรรมกร      หากว่าความรับรู้ทางทฤษฎียังไม่ถูกต้องชัดเจนเพียงพอแล้ว   ก็จะเกิดความเบี่ยงเบนทางความคิดและแนวทางปฏิบัติได้  เอาแค่ว่า,จะให้คำตอบอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไรต่อคำถามของกรรมกรพื้นฐานที่ยังเข้าใจว่า “นายจ้างของเขาไม่เห็นจะกดขี่ขูดรีดตรงไหน?   ให้งานทำ  มีชีวิตดีขึ้น ทำไมจะต้องไปโค่นล้มพวกเขาด้วย”(จากประสบการณ์) การตอบคำถามนี้ไม่ใช่เพียงแค่ให้คำอธิบายอย่างเป็นนามธรรมตามเนื้อหาทางทฤษฎีเท่านั้น    แต่ยังต้องอาศัยความรู้จากประสบการณ์มาอธิบายถึงต้นตอและรูปแบบของการกดขี่ขูดรีดให้พวกเขาได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย       ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าจะประยุกต์ทฤษฎีไปอธิบายปัญหาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร? สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จำต้องระลึกอยู่เสมอก็คือ  

“โลกทัศน์ของลัทธิมาร์กซได้ค้นพบว่าชนชั้นกรรมาชีพเป็นอาวุธสำคัญในการปฏิบัติ ในขณะ  เดียวกันชนชั้นกรรมาชีพก็ได้ค้นพบเช่นกันว่าลัทธิมาร์กซเป็นอาวุธทางปัญญา“ 

ดังนั้นหน้าที่ของปัญญาชนคือการเข้าไปช่วยสร้างจิตสำนึกปฏิวัติให้แก่มวลชนกรรมกรไม่ใช่ทำตัวเป็นอาจารย์หรือผู้นำที่คอยชี้นิ้วออกคำสั่งให้เชื่อหรือให้ทำตาม  ดังนั้นความหนักแน่นชัดเจนทางทฤษฎีและประสบการณ์จากการปฏิบัติจึงมีความจำเป็นสำหรับชาวมาร์กซผู้มีความปรารถนาจะสร้างกองหน้าแห่งสังคมนิยมขึ้นมา   

การสร้างจิตสำนึกปฏิวัติให้แก่มวลชนกรรมกรเพียงเรื่องเดียว   ก็เป็นปัญหาที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายอยู่แล้ว      ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษไม่ได้สอนให้คิดและกระทำอย่างทีเป็นลักษณะกลไก หรือให้เชื่อแบบลัทธิคัมภีร์อย่างแข็งทื่อ ไม่ได้สอนให้ชี้ชัดลงไปในทันทีทันใดว่าสิ่งไหนผิดหรือถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไม่มองและตัดสินแนวคิดทฤษฎีใดๆที่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติว่าเป็นสิ่งที่ถูก ต้องไปเสียทั้งหมด     ส่วนที่ยังไม่ได้นำไปปฏิบัติหรือปฏิบัติแล้วล้มเหลวเป็นสิ่งที่ผิดไปเสียทั้ง หมดโดยยังไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดแบบวิภาษวิธี

ความเหมือนและความแตกต่างของความคิดทางทฤษฎีที่หลากหลายจะเป็นเครื่องมือกรุยทางไปสู่ความถูกต้องของรูปแบบการจัดองค์กร   การให้การศึกษา   การสร้างจิตสำนึกปฏิวัติ    การนำ   การสร้างกองกำลัง  การยกระดับความคิด  ยกระดับการเคลื่อนไหว   ตลอดไปจนถึงการกำหนดแนว ทางยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี      อย่างน้อยที่สุดก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้แบบ ”เป็ดไล่ทุ่ง” ได้ (คือการถูกศัตรูขีดเส้นให้เดิน  หรือเดินตามๆกันไปโดยไม่ต้องคิดอะไร)

ในทัศนะของชาวมาร์กซ,สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นไม่มีและไม่เคยมีมาตั้งแต่สังคมมนุษย์เริ่มมีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล       ที่กล่าวเช่นนี้เพราะยึดถือในความเป็นวิทยาศาสตร์และหลักการของวัตถุนิยมวิภาษที่ไม่ได้สอนให้มองสรรพสิ่งเป็นเรื่องสมบูรณ์ มีแต่ปรัชญาจิตนิยมและเมตาฟิสิคส์ที่สอนเช่นนั้น     ชาวมาร์กซจะไม่พิจารณาเพียงแต่ปรากฏการณ์ของมันเพียงอย่างเดียว    หากยังต้องพิจารณาไปถึงธาตุแท้และความสัมพันธ์ของมันกับสิ่งอื่นๆอีกด้วย แน่นอน..ในกระบวนการหนึ่งๆในทางธรรมชาติหรือทางสังคมย่อมประกอบไปด้วยความขัดแย้งนานาชนิด       แต่ความขัดแย้งคู่หนึ่งจะพัฒนาขึ้นมาในช่วงเวลาที่แน่นอนหนึ่งๆ    จนกลายมาเป็นคู่ความขัดแย้งหลักเหนือความขัดแย้งคู่อื่นๆซึ่งมันจะสร้างผลสะเทือนและครอบงำไปทั้งกระบวนการแต่มันก็ไม่ได้ดำรงอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

สำหรับกระบวนการประชาธิปไตย..ในขณะที่ด้านหลักของความขัดแย้งยังอยู่ที่ชนชั้นปกครองซึ่งเป็นคนส่วนน้อย  ประชาชนส่วนใหญ่ยังเป็นด้านรองอยู่      จึงเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน และ เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต   ดังนั้นความคิด   วัฒนธรรม   ศิลปะวรรณคดี   การศึกษา ฯลฯ และ แนวทางประชาธิปไตยของชนชั้นนี้จึงมีอิทธิพลครอบงำสังคม    ครอบงำไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งไม่ได้ผิดไปจากบทสรุปที่ว่า“ชนชั้นใดครอบครองปัจจัยการผลิต   ชนชั้นนั้นครอบครองสังคม”    

ต่อปัญหาความเท่าเทียมหรือสิทธิเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตยที่ชนชั้นปกครองชอบอ้างอยู่เสมอ ว่า   ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสวงหาความสุขในชีวิต   ทุกคนในสังคมมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้   (ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและความเห็นชอบของพวกเขา)  ทุกคนมีสิทธิ์กินอาหารในภัตตาคารหรู    ดื่มไวน์ขวดละแสน  ซื้อรถสปอร์ตรุ่นใหม่  ซื้อเครื่องบินส่วนตัว  ครอบครองที่ดินนับหมื่นแสนไร่   แต่สำหรับกรรมกรรากหญ้าอย่างพวกเราแค่ “มีกิน” และไม่เป็นหนี้ก็ดีใจแล้ว     ดังนั้นความเสมอภาคในสังคมทุนนิยมจึงเป็นแค่ความเสมอภาคตามตัวอักษรที่ชนชั้นนายทุนเขียนไว้เท่านั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่จริงคือความเสมอภาคในความ “ไม่เท่าเทียม” และใน ”ความยากจน” มาร์กซได้อธิบายไว้ใน “วิพากษ์นโยบายโกธา” ว่า

ความเสมอภาคนั้นวัดได้จากบรรทัดฐานเดียวกันคือแรงงาน ...แต่ทว่าคนๆหนึ่งย่อมมีความเหนือกว่าอีกคนหนึ่งในทางกำลังกายและสติปัญญา  ดังนั้นจึงสนองแรงงานได้มากกว่าหรือทำงานได้มากกว่าในช่วงเวลาเดียวกัน     และเพื่อจะให้แรงงานเป็นบรรทัดฐาน    ต้องว่ากันตามเวลาที่ใช้หรือความหนักเบาของมัน  ถ้าไม่แล้วก็ถือเป็นบรรทัดฐานไม่ได้”.....และ สิทธิเสมอภาคนี้เป็นสิทธิของ ”ความไม่เสมอภาค”สำหรับแรงงานที่ไม่เท่าเทียมกัน”มันไม่ได้รับรองความเหลื่อมล้ำใดๆทางชนชั้น แต่มันรับรองโดยดุษฎีของสติปัญญาที่ไม่เท่าเทียมกัน    

จากคำกล่าวของมาร์กซที่ยกมานี้พอจะเห็นได้ว่า  อะไรคือความเสมอภาค  มันเป็นความเสมอภาคของใคร  เสมอภาคอย่างไรและใช้อะไรมาเป็นบรรทัดฐาน  ดังนั้นในสังคมทุนนิยม..แม้แต่คำขวัญ “เสรีภาพ  เสมอภาค  ภราดรภาพ”  ของการปฏิวัติฝรั่งเศสอันลึอลั่นนั้นก็ไม่เคยเป็นจริงและไม่เคยมีอยู่จริง   ส่วนประเด็นการยกเลิกการขูดรีดและยกเลิกสิทธิ์อันไร้ความชอบธรรมนั้น  ในระบอบสังคมนิยมมีความชัดเจนอยู่แล้ว     คือต้องยกเลิกสิทธิของผู้กดขี่ทั้งมวลไม่มีการยกเว้น   ไม่ใช่เลือกที่จะยกเลิกเฉพาะสิทธิ์หรืออภิสิทธิ์ของใครบางคนเท่านั้น     สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ไม่มีความคิดที่จะดำรงสถานภาพและอภิสิทธิ์ของชนชั้นผู้กดขี่เอาไว้ แต่ยินดีให้พวกเขาได้ใช้วิชาความรู้มาช่วยสร้างสังคมใหม่ในฐานะทรัพยากรมนุษย์ที่ตกค้างมาจากสังคมเก่าฉันท์พี่น้องร่วมชาติ    แต่จะไม่ยอมรับฐานะของปัญญาชนปฏิกิริยาที่ต่อต้านการปฏิวัติ      

ดังนั้นสังคมนิยมในความหมายของชาวมาร์กซคือ”สังคมนิยมวิทยาศาสตร์”เพียงอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่น    เป็นสังคมที่ชนชั้นผู้ถูกกดขี่ลุกขึ้นมาโค่นล้มชนชั้นผู้กดขี่เพื่อสถาปนาอำนาจรัฐของชนชั้นตนขึ้น มาแทนโดยมีกรรมกรเป็นกองหน้าร่วมกับผู้ที่ถูกกดขี่ทั้งมวล    เป็นสังคมที่ชนชั้นกรรมาชีพเป็นเจ้าของอำนาจรัฐหรืออยู่ในฐานะของชนชั้นปกครอง      นอกเหนือจากนี้แล้ว ถือว่าเป็นแนวคิดเพ้อฝันที่หลอกตัวเองว่าเป็นสังคมนิยมเท่านั้น    แม้ปัจจุบันจะมีนักคิดมากมายที่พยายามจะวิเคราะห์ชนชั้นในสังคมบนพื้นฐานของทุนนิยมสมัยใหม่     โดยใช้ปัจจัยทางเทคโนโลยี่   และลักษณะการทำงาน  การผลิต  การจ้างงานเข้ามาร่วมพิจารณาด้วยนั่นถือว่าได้พัฒนาขยายคำสอนของมาร์กซ ให้สมบูรณ์ขึ้นตามยุคสมัย   มีการจำแนก”ชั้นชน” ของชนชั้นหนึ่งๆในเชิงพัฒนาการที่เป็นจริงของสังคมแต่ก็ยังอยู่ในยัง สัจธรรมของลัทธิมาร์กซดั้งเดิมอยู่     โดยเฉพาะเรื่อง ”ชนชั้นและการต่อสู้ทางชนชั้น”

ส่วนคำถามที่ว่าทำไม? และด้วยสาเหตุใด?  จึงมีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมนิยมไปเป็นลัทธิเผด็จการขุนนางแบบสตาลิน     นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะลองมาพิจารณาทัศนะของ อันโตนิโย กรัมชี  นักลัทธิมาร์กซ ชาวอิตาลีที่ให้ข้อสรุปที่เป็นวิภาษวิธีว่า “เมื่อการปฏิวัติสิ้นสุดลง กระบวนการใหม่ ความขัดแย้งแบบใหม่คู่ใหม่ก็จะเกิดขึ้นและพัฒนาไป       ในวิถีของประวัติศาสตร์เราจะเห็นว่าคู่ความขัดแย้งระหว่างปัญญาชน(ปฏิวัติ)กับกรรมาชีพได้เกิดคุณภาพใหม่ให้แก่การปฏิวัติ   นั่นคือ ระบอบขุนนาง”   และทัศนะของ โรซ่า ลุกเซมบวร์ก ที่ได้วิจารณ์ปัญหาการรวมศูนย์ประชาธิปไตยที่ตายตัว  และท่วงทำนอง ”ขุนนาง” ของผู้นำปัญญาชนภายในพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมันว่า   มันจะเป็นมูลเหตุหนึ่งของการเปลี่ยนสีแปรธาตุได้ในอนาคต    ซึ่งคำวิจารณ์ของเธอนั้นช่างศักดิ์สิทธิ์และเป็นจริงเสียนี่กระไร !!!

ถ้าใครก็ตามสนใจศึกษาแนวคิดของมาร์กซิสต์ท่านอื่นๆที่นอกเหนือไปจากของปรมาจารย์  และแอนตี้มาร์กซิสต์ทั้งในอดีตและปัจจุบันบ้าง      ก็จะไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าทำไมทุกวันนี้ประเทศที่เรียกตัวเองว่า ”สังคมนิยม” ที่เคยผ่านความปวดร้าวขมขื่นของการถูกกดขี่ขูดรีดในระบอบทุนนิยมมาแล้วในอดีตจึงถูก วิพากษ์วิจารณ์ว่ากำลังเดินถอยหลังกลับไปสู่ระบอบทุนนิยมอีก  มันเป็นความจริงหรือไม่?   ถ้าจริง...มันเป็นเพราะอะไร? หรือเพราะว่าปฏิบัติไปตามการตีความทางทฤษฎีแบบเข้าข้างตนเอง?  หรือเป็นเพราะว่าสู้กับความเข้มแข็งของระบอบทุนนิยมโลกไม่ได้ ?    หรือเพราะว่าจิตสำนึกของชนชั้นกรรมาชีพในประเทศเหล่านั้นกำลังแปรเปลี่ยนไป? หรือเป็นเพราะว่าเกิดระบอบขุนนางขึ้นภายในพรรค? เป็นเรื่องที่น่าติดตามศึกษาเป็นอย่างยิ่ง  ส่วนข้อสังเกตเรื่องสังคมนิยมแบบ ”บนสู่ล่าง” หรือจาก ”ล่างสู่บน” นั้น     ไม่ใช่วิธีจำแนกความ ”เป็น” หรือ “ไม่เป็น” สังคมนิยมแต่อย่างใด    เพราะไม่มีพื้นฐานทางทฤษฎีใดๆมารองรับ    มันเป็นเพียงรูปแบบการจัดการที่ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในขั้นตอนของการปฏิวัติในแต่ละแห่ง หรือเป็นการแสดงออกถึงรากเหง้าของรูปการจิตสำนึกทางชนชั้นมากกว่า

สังคม”สังคมนิยม”นั้นกล่าวได้ว่ายังไม่มีใครไปถึง รูปแบบของมันจึงไม่น่าจะมีความจำกัดว่าต้องเป็นแบบหนึ่งแบบใด     การสร้างสังคมนิยมหลังการปฏิวัติ.....คือการสร้างสังคมใหม่ขึ้นบนซากปรักหักพังของสังคมเก่าที่ถูกโค่นล้มลงไปได้ไม่นาน    เศษเดนความคิดและวัฒนธรรมของมันยังหลงเหลืออยู่   ทั้งประชาชนเองก็ยังมีความเคยชินและมีความสัมพันธ์กับสิ่งเดิมๆเหล่านี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้   ปัจจัย หลักที่ไม่อาจละเว้นคือ....จะต้องปลดปล่อยประชาชนให้หลุดพ้นจากการครอบงำของเศษเดนความคิดและวัฒนธรรมเก่าที่หลงเหลืออยู่เหล่านี้ให้ได้     

สังคมนิยมไม่ใช่ลัทธิ ”เฉลี่ยสมบูรณ์” คือไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันอย่างสม บูรณ์อย่างที่ชนชั้นนายทุน  ผู้แก้ต่าง   และพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติได้พร่ำพรรณาไว้    หากแต่ต้องการสร้างสังคมที่ปราศจากการกดขี่ขูดรีด    ทำให้ประชาชนมีความสุข    มีงานทำ   กินอิ่ม   นอนหลับ    มีปัจจัยในการดำรงชีวิตและมีหลักประกันในชีวิตอย่างเพียงพอ     การกักขังตัวเองอยู่ในกรอบทฤษฎีอย่างเคร่งเคร่งครัดจนไม่ยอมกระดิกกระเดี้ยเพราะกลัวผิดนั้น     ไม่ใช่เป็นการแสดงความซื่อสัตย์ต่อหลักการของสังคมนิยมแต่อย่างใดหากแต่เป็นเพียงซื่อตรงต่อตัวอักษรที่เขียนไว้เท่านั้น  อีกทั้งยังละเมิดกฎเกณฑ์ของปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษที่ว่า  “สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง พัฒนาตลอดเวลา” อีกด้วย   และมันก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความมีคุณธรรมที่ล้ำเลิศและเป็นผลดีต่อการปฏิวัติแต่อย่างใด หากจะเป็นการฉุดรั้งทำ ลายการปฏิวัติเสียมากกว่า   ขอเพียงยึดมั่นในหลักการของลัทธิมาร์กซ   มั่นคงในจิตสำนึกและจุดยืนของชนชั้นกรรมาชีพ ถนัดที่จะศึกษาพัฒนาทฤษฎีแล้วนำไปประยุกต์ ใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติ     การปฏิวัติและการสร้างสังคมนิยมจึงจะมีความเป็นไปได้    หากยังยืนยันยึดมั่นในความเข้าใจสังคมนิยมแบบที่ได้วิพากษ์วิจารณ์มานั้น     ความหวังที่จะสร้างแม้แต่สังคมนิยมยูโธเปียหรือสังคมนิยมอุดมคติคงจะเป็นความสูญเปล่าอย่างแน่นอน  

สัจธรรมในเรื่องใดๆนั้นมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวแต่หนทางที่จะเข้าถึงนั้นมีหลายทาง ในอนาคตอาจจะมีปรัช ญาอื่นใดที่สามารถแก้ปัญหาสังคมได้ดีกว่าลัทธิมาร์กซก้ก็เป็นได้ เพราะกฎข้อหนึ่งของปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษซึ่งเป็นพื้นฐานของลัทธิมาร์กซมีอยู่ว่า “สรรพสิ่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงและพัฒนาจากคุณภาพเก่าไปสู่คุณภาพใหม่อยู่ตลอด เวลา”

สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ด้วยความปรารถนาดีคือ   การที่ชนชั้นนายทุนประสบความสำเร็จอย่างมากมายในหลายร้อยปีที่ผ่านมาก็คือ     พวกเขาได้สร้างระบบความคิดและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง   ได้สร้างปัญ ญาชนของชนชั้นตนขึ้นมาในทุกๆด้านและสามารถนำมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ    แล้วคนที่คิดว่าตัวเองเป็นชาวมาร์กซนั้น  จะสามารถสร้างปัญญาชนของชนชั้นกรรมาชีพที่มีจิตสำนึกปฏิวัติและความเข้มแข็งทางทฤษฎีขึ้นมาเพื่อสร้างสังคม ”สังคมนิยม” ได้อย่างไร?      หากผู้ที่คิดว่าตนเป็นนักปฏิวัติที่ยึดถือในหลักการของลัทธิมาร์กซทั้งหลายยังไม่ยอมพัฒนาความคิด  ไม่ยอมยกระดับจิตสำนึก   แม้แต่หลักการสำคัญทางทฤษฎีก็ยังไม่อาจยึดกุมได้   โอกาสที่จะสถาปนาสังคมใหม่ขึ้นมานั้นคงเป็นไปได้แค่ในความฝัน      โปรดอย่าลืมว่าชั้นปกครองไม่ได้นิ่งเฉยอยู่บนความประมาทแต่อย่างใด...พวกเขามีการเคลื่อนไหวพัฒนา!!!!!

หมายเหตุ*** บทความชิ้นนี้  เคยลงในเวปไซท์  ไฟลามทุ่ง  เมื่อหลายปีมาแล้ว  เราเห็นว่าเป็นบทความที่มีประโยชน์   จึงได้นำมาเสนออีกครั้ง   โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของให้เผยแพร่ได้   และยังกรุณาแก้ไข  เพิ่มเติม   ตัดทอนในบางเรื่องเพื่อความกระชับ