Wednesday, November 23, 2016

ทฤษฎีของความรับรู้ 2


2.ความคิดแบบวิภาษและความคิดแบบแผน 

การใช้ประโยชน์จากวิภาษวิธีอย่างถูกต้องหมายถึงว่าผู้ใช้จะต้องใส่ใจอย่างเต็มที่ในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุ  โดยการพิจารณาในทุกๆด้านของมันเพื่อที่จะเข้าใจถึงความขัดแย้งภายในและความสำ คัญของกฎแห่งการเคลื่อนไหวที่ควบคุมการดำรงอยู่ของมัน      ตัวอย่างที่ดีของวิธีการนี้จะพบได้จากหนังสือเรื่อง “ทุน” ของมาร์กซทั้งสามเล่ม     มาร์กซไม่ได้สร้างกฎที่ควบคุมวิถีการผลิตแบบทุนนิยมขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล      แต่ได้สร้างขึ้นมาจากการวิเคราะห์แบบวิภาษวิธีด้วยความอุตสาหะวิริยะ อย่างมีความระมัดระวังด้วยการวิเคราะห์ทุกแง่มุมของระบอบทุนนิยม   ได้ติดตามร่องรอยทางประวัติศาสตร์การพัฒนาและกระบวนการทางการผลิตสินค้าตลอดทั้งระยะและขั้นตอนของมัน

ในสมุดบันทึกของเลนินที่ว่าด้วยปรัชญา,  เต็มไปด้วยรายละเอียดในการศึกษาเรื่อง ”วิทยาศาสตร์แห่งตรรกศาสตร์” ของเฮเกล     เลนินได้ชี้ออกมาว่า  เงื่อนไขแรกของความคิดแบบวิภาษคือ “การพิจารณาของความคิดที่นอกเหนือตัวมันเอง(ตัวความคิดเองจะต้องพิจารณาในความสัมพันธ์และพัฒนาการของมัน)”  หรืออีกทางหนึ่ง วิภาษวิธีเริ่มจาก ”ความสมบูรณ์แบบของการพิจารณาอย่างภววิสัย (ไม่ใช่ตัว อย่าง  ไม่ใช่การขยายความ  แต่เป็นข้อเท็จจริงในตัวมันเอง)” (Lenin, Collected Works, Vol. 38, p. 221.)
รูปแบบแรกและขั้นต่ำที่สุดของความคิดคือความรู้สึกด้านประสาทสัมผัส  อย่างที่กล่าวว่า..เป็นการแจ้งข่าวสารแก่เราในชั่วขณะที่เรารู้สึกจากการมองเห็นและสัมผัส   ตามมาด้วยความเข้าใจ(Verstand/แฟร์-ชตานด์) และเริ่มอธิบายว่ามันคืออะไร     แต่ก็เป็นไปในลักษณะด้านเดียวซึ่งแยกออกจากความเป็นจริง    กล่าวอย่างกว้างๆก็คือเป็นความเข้าใจที่เป็นเช่นเดียวกับตรรกะแบบแผน.(Formal Logic).เป็นความคิดแบบปกติธรรมดาและเป็น “สามัญสำนึก”   เราเห็นสิ่งที่ดำรงอยู่ และนั่นไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นตัวของมันเอง  ซึ่งไม่มีอะไรที่นอกเหนือไปจากนี้     แต่ในความเป็นจริงมันมีเรื่องสำคัญมากกว่านั้นที่จะต้องกล่าวถึง    ความเข้าใจที่ว่าสรรพสิ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว  หยุดนิ่ง  และไม่เปลี่ยนแปลงนั้นจึงไม่ถูกต้อง    เพราะในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

รูปแบบความคิดที่ก้าวหน้ากว่า อย่างที่เฮเกล(และค้านท์) เรียกว่าความมีเหตุผล(Vernunft /เฟอร์นูฟท์)  ความมีเหตุผลพยายามจะก้าวไปไกลกว่าความจริงในชั่วขณะที่เกิดขึ้นโดยการเรียนรู้..ด้วยการแยกมันออก  รวมมันเข้า.. และเบื้องหลังรูปลักษณ์ภายนอกที่ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนจะเผยให้เห็นแนวโน้มของความขัดแย้งภายใน,ซึ่งไม่ช้าก็เร็วจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง     เฮเกล กล่าวว่า ” ในสมรภูมิของเหตุผล  คือการดิ้นรนต่อสู้เพื่อทำลายความเข้าใจที่ตายตัวในทุกๆสิ่งให้น้อยลง”  (Hegel, Logic, p. 53.)

หลักการแรกของความคิดแบบวิภาษคือเรื่องเกี่ยวกับวัตถุ     ต้องเริ่มที่สสารวัตถุอย่างที่เป็นภววิสัย,และสุดท้ายจะต้องไม่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า   เราต้องปรับตัวเราเองให้เข้ากับวัตถุสสาร..จนกว่าเราจะกุมมันได้ไม่ใช่เพียงแต่ความเป็นจริงทั่วไปภายนอก..แต่ต้องทำให้ได้ถึงความสัมพันธ์ภายในของมันและกฎที่ควบคุมมันด้วย    กฎของวิภาษวิธี.ไม่เหมือนกับของตรรกะแบบแผน..  วิภาษวิธีไม่ได้สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาตามอำเภอใจ..   สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับลักษณะภายนอกทั่วไปจนถึงเนื้อหาเฉพาะ(ภายใน)ของสิ่งอื่นๆได้       มันเกิดจากการเฝ้าสังเกตพัฒนาการของธรรมชาติ,สังคม,และความคิดของมนุษย์อย่างระมัดระวัง

รูปแบบปกติของความคิดได้แสดงออกโดยตรรกะแบบแผน   สามารถนำไปใช้กับลักษณะภายนอกของ   สสารวัตถุอื่นๆซึ่งเป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึก     อันที่จริง..ไม่ได้ตรงกับเนื้อหาสาระของสสารวัตถุเลย ตรรกะแบบแผน,ได้แสดงออกอย่างเป็นนามธรรมของ กฎแห่งความเป็นเอกลักษณ์ (A  เท่ากับ A)  ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้      แท้จริงแล้ว..มันเป็นการใช้คำซ้ำๆที่มีแต่ความว่างเปล่า, เป็น ”ลัทธิรูปแบบ” ที่ไม่น่าสนใจ   หรืออย่างที่เฮเกลได้กล่าวไว้อย่างหลักแหลมว่า “วัวทั้งฝูงจะเป็นสีดำในเวลากลางคืน    ซึ่งก็คือความไร้เดียงสาของความรับรู้ที่ว่างเปล่า” (Hegel,Phenomenology, p. 79.)

สิ่งที่เรียกว่า กฎแห่งความเป็นเอกลักษณ์  นั้นเป็นเพียงรูปแบบของนามธรรมซึ่งไม่มีสาระที่แท้จริง  ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือพัฒนาได้     ไม่อาจนำไปประยุกต์ใช้กับพลังที่แท้จริงของจักรวาลที่ไม่เคยหยุดนิ่ง..ที่ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง..เข้ามาสู่ตัวตนแล้วก็ผ่านพ้นไป    และดังนั้นจึงไม่สามารถพิจารณาได้อย่างที่มันเป็น     ในทางเดียวกัน,กฎของความขัดแย้งจึงใช้ไม่ได้..เพราะสรรพสิ่งที่แท้จริงนั้นเนื้อหาสาระของมันต้องมีทั้งด้านบวกและลบทั้ง  “เป็น” และ “ไม่เป็น”  เพราะว่ามันอยู่ในขั้นตอนที่แน่นอนของการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลง   มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง..ก็คือความเปลี่ยน แปลงนั่นเอง
ความพยายามทั้งปวงที่จะจัดการกับสัจธรรมให้เป็นสิ่งที่มีลักษณะด้านเดียวและหยุดนิ่งคือการก้าวไปสู่ความล้มเหลว   อย่างที่เฮเกลได้กล่าวถึงมันอย่างคมคายว่า  สัจธรรมคือ “ความสำมะเลเทเมา”   การดำรงอยู่ของความขัดแย้งคือการสะท้อนออกของสัญชาติญาณที่ฝังอยู่ในจิตสำนึกทั่วไปในรูปแบบของสุภาษิตและคำพูด   ซึ่ง...เป็นบุคลิกภาพและความสำนึกที่ไม่ค่อยเป็นระบบ,บ่อยครั้งมักจะขัดแย้งกัน
ในวิทยาศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน..เราพบเห็นความขัดแย้งในหลายๆระดับตัวอย่างเช่น     แรงดึงและแรงผลัก  ขั้วเหนือ-ใต้ของแม่เหล็ก  ขั้วบวก-ขั้วลบในไปฟ้า  กิริยาและปฏิกิริยาในกลศาสตร์  การหดตัวและการขยายตัวเป็นต้น ฯลฯ    เช่นเดียวกับการต่อสู้กับตรรกะแบบแผน, วิภาษวิธีไม่ใช่สิ่งเสียหายในธรรม ชาติหากแต่ขั้นตอนของมันเกิดขึ้นจากความเป็นจริง     วิภาษวิธีที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องธรรมดา..ไม่ได้มีรูปร่าง     เหมือนกับภาพที่ถูกล้อเลียนอย่างที่มันถูกวิจารณ์จากผู้ที่พยายามนำเสนอว่ามันเป็นจิตนิยมซึ่งเป็นการเล่นคำที่ไร้สาระ    แท้จริงแล้วมันเป็นแค่วิภาษวิธีของลัทธิเหตุผลนิยม(ไม่ใช่วิภาษวิธีของลัทธิมาร์กซ),ซึ่งก็เหมือนกับตรรกะแบบแผน,ที่ประยุกต์ใช้กับแต่ลักษณะภายนอกไม่ใช่เพื่อนำไปสู่เนื้อหาสาระ...ด้วยความตั้งใจที่จะจัดการกับความขัดแย้งในวิธีคิดของจิตนิยม    วิภาษวิธีจึงไม่ใช่เรื่องที่จะตัดตัดตอนให้สั้นลงเหลือแค่เพียง”สามลักษณะ” (บทตั้ง   บทแย้ง   บทสรุป) ที่ค้านท์นำไปใช้และเปลี่ยนให้เป็นสูตรที่ไร้ชีวิตชีวา   วิภาษวิธีที่แท้ ได้มีความพยายามที่จะเผยให้เห็นถึงการวิเคราะห์ทางด้านภววิสัยที่ชัดเจน  ถึงลักษณะตรรกะภายในและกฎการเคลื่อนไหวของปรากฏการณ์

3.ตรรกะของเฮเกล
ตรรกะของเฮเกลเป็นหนึ่งในความคิดที่สุดยอดของมนุษยชาติ        มันแสดงออกอย่างเป็นระบบและเป็นการพัฒนารูปแบบของความคิดทั้งมวล   จากความคิดแบบเดิมที่ล้าหลังและไม่พัฒนาไปสู่รูปแบบสูงสุดของการให้เหตุผลแบบวิภาษที่เฮเกลเรียกมันว่า  การสะท้อนความคิด (Notion)    ท่านเริ่มด้วยข้อ เสนอทั่วไป-ที่เป็นไปได้ของ “สิ่งบริสุทธิ์”  บางอย่าง   ที่ดูเหมือนว่าไม่ต้องพิสูจน์อะไรมาก    จากความคิดนามธรรมสุดขั้วนี้    ท่านได้ดำเนินการไปทีละก้าว ทีละก้าว,ควบคู่ไปกับกระบวนการจากที่เป็นนาม จะจะธรรมไปสู่รูปธรรม
กระบวนการของการให้เหตุผลดำเนินไปอย่างมีขั้นตอน   ซึ่งแต่ละขั้นตอนนั้นจะปฏิเสธขั้นตอนก่อนหน้านั้น    ประวัติของความคิดโดยเฉพาะทางด้านปรัชญาและวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าความรับรู้นั้นได้มาอย่างแท้จริงด้วยวิธีนี้  เป็นกระบวนการที่ไม่มีที่สิ้นสุด, เราได้ความรู้ที่ชัดเจนเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการทำ งานของจักรวาล     สำหรับเฮเกล.. แต่ละขั้นตอนก็ไม่สามารถพิสูจน์อะไรมากไปกว่าการปฏิเสธ ,และผลลัพธ์นั้นสูงขึ้น...มีค่ามากขึ้น และมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น    เค้าโครงทั่วไปในตรรกะของเฮเกลสามารถแบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก่ .คำสอนที่ว่าด้วยสิ่งที่มีอยู่(Being)   คำสอนที่ว่าด้วยแก่นแท้ของธรรมชาติ (Essence)..และคำสอนที่ว่าด้วยการสะท้อนความคิด(Notion)  
เฮเกลเริ่มต้นปรัชญาของท่านด้วยพื้นฐานของความคิดเกี่ยวกับขั้นตอนของสิ่งที่มีอยู่   ก่อนอื่นทั้งหมด .ทุกอย่างที่เราพิจารณานั้นมีอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย      ซึ่งดูเหมือนกับพื้นฐานในความรับรู้ทั้งหมดของเรา    แต่เรื่องของสรรพสิ่งไม่ได้ง่ายเช่นนั้น. การกล่าวถึงเรื่องของการดำรงอยู่ โดยไม่มีรายละเอียดนั้นทำให้เราไม่สามารถไปต่อได้      เราต้องการรู้มากไปกว่านั้น,แต่ในขณะที่เราผ่านจากความคิดที่เป็นนามธรรมซึ่งมีลักษณะทั่วไปของสิ่งที่มีอยู่ไปสู่ความคิดที่เป็นรูปธรรม.. สิ่งที่ดำรงอยู่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นด้านตรงกันข้ามแล้ว     เฮเกลแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีอยู่ในลักษณะทั่วไปนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับความว่างเปล่า

ความคิดนี้เป็นเรื่องแปลก..แต่ความจริงแล้วสามารถเห็นได้ว่ามันเป็นความจริงในทุกๆระดับที่แตกต่างกัน..ถ้าเราพยายามจะขจัดความขัดแย้งออกจากสรรพสิ่ง..และยืนยันอยู่กับความคิดที่เพิ่งเกิดขึ้น  เราจะถึงบทสรุปที่ตรงกันข้าม,เพราะว่ามันไม่อาจมี สิ่งที่มีอยู่  โดยปราศจาก  สิ่งที่ไม่มีอยู่,  เหมือนเช่นว่า  จะไม่มีชีวิตได้เลยหากปราศจากความตาย, และจะไม่มีความสว่างหากปราศจากความมืด     ใครที่ใช้ชีวิตอย่างยาวนานในทวีปอาร์คติคย่อมรู้ถึงผลของความสว่าง ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับกับความมืดในสาย  ตาของมนุษย์   ความจริงนามธรรมนั้นว่างเปล่าเนื่องจากมันขาดรูปธรรมโดยสิ้นเชิง    ในความเป็นจริง ..เอกภาพวิภาษของสิ่งที่ดำรงอยู่และสิ่งที่ไม่ได้ดำรงอยู่ นั้นมีความความสมดุล  อย่างที่ เฮราคลิตุส หมายความถึงเมื่อเขากล่าวว่า..”ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็น และ ไม่เป็น,เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง”   ทุกคนย่อมรู้จากประสบการณ์ว่า  บ่อยครั้งที่สรรพสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่มันเป็น      สรรพสิ่งที่ปรากฏอยู่นั้นดูไม่เปลี่ยนแปลง,ดังนั้นเราจึงกล่าวกันว่า ”มันเป็นเช่นนั้น”      แต่เมื่อได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้วบางอย่างของมันมีการเปลี่ยนแปลง ,และนั่นมัน ”ไม่เป็น” อย่างเดิมแล้ว     นอกจากนั้น..ความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ดำรงอยู่และไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่ คือรากฐานของสรรพชีวิตและความเคลื่อนไหว

สำหรับเฮเกล..ขั้นตอนของ สิ่งที่มี นั้นหมายถึงช่วงเวลาของการเริ่มต้นที่ความคิดยังไม่ได้พัฒนา  มันถูก มองว่าเป็นเพียงศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่,เหมือนความคิดของเด็กๆ..หรือแบบอย่างของมนุษย์ยุคแรกๆมันเป็นเพียงตัวอ่อนของความคิด     ตัวอ่อนนี้เริ่มจากเซลๆเดียวซึ่งไม่ได้มีรูปแบบของการพัฒนาที่ชัดเจนมันยังไม่ใช่ตัวตนที่ชัดเจนของมนุษยชาติ   เพื่อที่จะพัฒนาไป,แรกสุดมันต้องปฏิเสธตัวมันเอง   ภายในเซล..มันมีความโน้มเอียงไปสู่ความขัดแย้งที่ทำให้เกิดกระบวนการของความแตกต่างภายใน   เมื่อแนว โน้มของการเป็นปรปักษ์มาถึงจุดหนึ่ง,เซลจะเกิดการแบ่งตัวเป็นสองส่วน      เซลต้นกำเนิดที่ไม่มีความแตกต่างจะไม่ดำรงอยู่   มันถูกยกเลิกและปฏิเสธ   ในขณะเดียวกันมันก็ถูกรักษาไว้และดำเนินไปสู่ขั้นที่สูงกว่า    กระบวนการนี้ถูกทำซ้ำๆกันอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดองคาพยพ และมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ด้วยรูปร่างที่มีความแตกต่างกันมากขึ้นทำให้เกิดมนุษยชาติที่สมบูรณ์แบบขึ้นในที่สุด

มันอยู่ตรงจุดที่ว่า..ในชีวิตที่แท้จริง    ด้านที่ปฏิเสธของสรรพสิ่งนั้นย่อมมีความสำคัญเท่ากับด้านที่ไม่ปฏิเสธ   เรามักจะเคยชินกับการมองชีวิตและความตายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน    แต่ในความเป็นจริงมันคือสองด้านของกระบวนการที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้     กระบวนการแห่งชีวิต,การเติบโตและการพัฒนา      สามารถเกิดขึ้นได้โดยผ่านการสร้างเซลต่างๆของสิ่งมีชีวิตขึ้นใหม่เท่านั้น บ้างก็ตายไป  บ้างก็ดำรงอยู่       แม้ในระดับที่ต่ำสุด, ชีวิตจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่แน่นอนในสิ่งมีชีวิต.. ดูดซับอาหารจากสิ่งที่อยู่รอบตัวเพื่อใช้ในการสร้างชีวิตในขณะที่ของเสียถูกขจัดออกไป     ดังนั้นสิ่งมีชีวิตทุกชนิด”เป็น”และ”ไม่เป็น” ในเวลาเดียวกัน,เพราะทุกสิ่งนั้นอยู่ในสถานะที่เปลี่ยนแปลง    ถ้าไม่มีความขัดแย้งก็เท่ากับว่าไม่มีความแตกต่างภายใน    จะไม่มีการเคลื่อนไหว,   จะอยู่ในขั้นที่หยุดนิ่งที่เรียกว่า “ความสมดุล” (equilibrium) แห่งร่างกาย นั่นคือ การตาย นั่นเอง

 จากคำพูดของ Prigogine และ Stengers ที่ว่า
“เซลที่มีชีวิตจะแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงแบบเมตาโบลิคอย่างต่อเนื่อง     พร้อมกันนั้นก็มีปฏิกิริยาทางเคมีนับพันๆชนิดเกิดขึ้น   เพื่อจะเปลี่ยนสภาพของสสารที่เซลหล่อเลี้ยงอยู่,ไปสู่การสังเคราะห์โมเลกุลขั้นพื้นฐานและขจัดของเสียออกไป      เมื่อการพิจารณาถึงอัตราความแตกต่างด้าน ปฏิกิริยาของทั้งคู่   ปฏิกิริยาทางเคมีนั้นจะอยู่ในระดับเดียวกัน   โครงสร้างทางชีวภาพนี้, รวมทั้งระเบียบและการเคลื่อนไหวจะเชื่อมประสานกัน    ในด้านที่ตรงกันข้าม..ช่วงระยะแห่งความสมดุลยังดำเนินไปอย่างช้าๆแม้ในขณะที่มันกำลังก่อตัวขึ้น..เช่นเดียวกับกระบวนการตกผลึก

ครั้งแรกที่ปรากฏแก่สายตา, ข้อสังเกตเหล่านี้ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรในรายละเอียด      แต่ในจุดที่เป็นจริง..มันเป็นการสะท้อนที่ลึกซึ้งมาก,ที่ไม่ใช่เพียงแต่จะปรับใช้กับความคิดเท่านั้น..หากยังปรับใช้ใน   ธรรมชาติด้วย       จริงๆแล้ว..เฮเกลได้พิจารณาว่าสองสิ่งนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้    เฮราคลีตุสกล่าวว่า..”ทุกสิ่งผ่านไปไม่มีอะไรอยู่กับที่... เราไม่สามารถเดินข้ามกระแสน้ำเดียวกันได้ถึงสองครั้ง”    ในที่นี้เฮเกลก็กล่าวอย่างเดียวกัน     หัวใจของปรัชญาชนิดนี้คือการมองจักรวาลว่าเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหว,เป็นการมองด้วยความเข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นกระบวนการที่ไม่หยุดนิ่ง   ไม่ใช่สิ่งตายตัว..และที่จะขาดเสียมิได้คือมันมีความสัมพันธ์ต่อกัน    จะต้องไม่แยกออกจากกันหรือแยกแยะมันตามอำเภอใจ   โดยรวมแล้วมันมีขนาดใหญ่โตมากกว่าผลรวมของสิ่งต่างๆมาก   จบตอน 2.

Friday, November 18, 2016

ทฤษฎีของความรับรู้ 1.

ทฤษฎีของความรับรู้   

อย่างที่เราได้รู้กันแล้วว่า...  ปัญหาพื้นฐานของปรัชญาคือความสัมพันธ์ระหว่างความคิดและสรรพสิ่ง  อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างจิตสำนึก(ความตระหนักรู้)และโลกภววิสัย?  ค้านท์ ได้ยืนยันว่า มันไม่มีสะพานเชื่อมระหว่างตัวความคิดและสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยตัวมันเอง     เฮเกลได้ตั้งคำถามที่ต่างออกไปกระบวนการของความคิดคือเอกภาพของภววิสัยและอัตวิสัย        ความคิดไม่ได้เป็นสิ่งขวางกั้นมนุษย์ออกจากโลกภววิสัย..แต่ในด้านตรงกันข้ามมันเป็นกระบวนการที่เชื่อมต่อ(“ประนีประนอม”)ของด้านทั้งสอง  เอาเป็นว่า..จากจุดเริ่มต้นของมัน..ความเป็นจริงจะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาทันที..ความคิดของมนุษย์ไม่ได้เป็นแค่ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่ ล๊อค (John Locke) มีจินตภาพไว้..แต่กำลังทำงาน..กำ ลังแปลงข้อมูลนี้โดยแยกมันออกเป็นส่วนๆแล้วประกอบมันกลับอย่างเดิม   มนุษย์ใช้ความคิดอย่างเป็นเหตุผลเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นจริงโดยตรง    ความคิดแบบวิภาษวิธีจะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น   แยกออกเป็นส่วนๆและทดสอบพิสูจน์รูปลักษณ์ที่ขัดแย้งเหล่านั้นและความโน้มเอียงที่จะนำไปสู่ความเป็นตัวตนและการเคลื่อนไหวของมัน

ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ประกอบด้วยบัญชีรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆเท่านั้น   สมมุติว่าเรากล่าวถึง ”สัตว์” ก็ไม่ใช่แค่ที่มีอยู่ในวิชาสัตวศาสตร์   นอกจากและนอกเหนือความจริง.. มันมีความจำ เป็นที่จะค้นคว้ากฏเกณฑ์และกระบวนการทางภววิสัยของมัน       มีความจำเป็นที่จะต้องเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ  และอธิบายถึงการเปลี่ยนผ่านจากสภาวะหนึ่งไปสู่สภาวะอื่นด้วย    ประ วัติความเป็นมาของวิทยาศาสตร์..ก็เช่นเดียวกับปรัชญา..เป็นกระบวนการที่ยืนยันและปฏิเสธมาเป็นเวลาช้านาน  เป็นกระบวนการที่ไม่จบสิ้นและมีการพัฒนา   ซึ่งความคิดหนึ่งๆจะคัดค้านความคิดอื่นๆ..   และในทางกลับกัน    คือการปฏิเสธกระบวนการที่ไม่มีวันจบซึ่งฝังลึกอยู่ในความรับรู้ของตนเองและจักรวาล  ปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้กันเราอาจเห็นได้ในพัฒนาการทางจิตใจของทารก

เกียรติภูมิที่ยิ่งใหญ่ของเฮเกลได้แก่การแสดงให้เห็นถึงลักษณะวิภาษในพัฒนาการทางความคิดของมนุษย์..จากระยะเริ่มต้นของมันผ่านขั้นตอนไปสู่ระยะต่างๆ    และสุดท้ายก็เข้าสู่ขั้นสูงสุดของเหตุผล นั่นคือกระบวนการรับรู้     ในภาษาของผู้นิยมเฮเกล มันคือกระบวนการของสรรพสิ่งที่เริ่มจากใน “ตัวของมันเอง” และ ”เพื่อตัวมันเอง” เหมือนจะกล่าวว่า..จากสิ่งที่ยังไม่ได้พัฒนาไปสู่สิ่งที่ได้พัฒนาแล้ว    ตัวอ่อนของมนุษย์นั้นมีศักยภาพ     เป็นมนุษย์..แต่ไม่ใช่เป็นมนุษย์โดยตัวเองและเพื่อตัวเองโดยตระหนักถึงศักยภาพที่สูงสุดของมัน    ตลอดช่วงเวลาแห่งการพัฒนาซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น    จากวัยทารก..ไปสู่  วัยรุ่นและ วัยกลางคน  เป็นขั้นตอนที่จำเป็นต้องพิจารณา     ความคิดของเด็ก..ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่ายังไม่มีความสมบูรณ์เต็มที่        กระนั้นความคิดที่ไม่ถูกต้องที่เด็กแสดงออกมานั้นไม่ได้มีน้ำหนักเหมือนความคิดของผู้ที่มีอาวุโสกว่าซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมา  ดังนั้นจึงมีความเข้าใจในความ หมายของสรรพสิ่งได้ลุ่มลึกกว่า

สำหรับเฮเกล..การพัฒนาที่แท้จริงของมนุษยชาติเป็นการแสดงออกถึงรูปแบบที่เร้นลับ..เช่นเดียวกันกับพัฒนาการของจิตวิญญาณ       ในความที่เป็นนักจิตนิยม..เฮเกลไม่ได้มีแนวคิดที่จริงจังต่อพัฒนาการของสังคม... แม้ว่าในงานเขียนที่ปราดเปรื่องของท่านจะมีวี่แววของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์อยู่บ้างก็ตาม ความคิดที่ปรากฏอยู่ในนั้นได้แสดงออกถึงความคิดที่สัมบูรณ์(หมายถึงความคิดที่สมบูรณ์แบบในตัวของมันเองโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศันสิ่งใดที่จะมาทำให้เกิดความสมบูรณ์ เช่น สิ่งที่เหนือมนุษย์ สิ่งศักดิ์สิทธ์ พระเจ้า เป็น ต้น),เป็นมโนทัศน์ที่มีความลี้ลับเพียงประการเดียวที่เราได้รับรู้,      อย่างที่เองเกลส์ได้เหน็บแนมว่า,มันไม่ได้บอกอะไรแก่เราอย่างสมบูรณ์      ในความเป็นจริง,ความคิดคือผลผลิตของสมองและระบบประสาทของมนุษย์ที่ไม่อาจแยกออกจากร่างกายได้   แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งที่บริโภค ,ในทางกลับกันก็เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับสังคมและการผลิตด้วย

ความคิดเป็นผลิตผลจากวัตถุที่เราคิด เป็นความสัมฤทธิ์ผลอย่างสูงสุดของธรรมชาติ    วัตถุที่ไม่มีชีวิตนั้นยึดกุมศักยภาพในการแสดงออกของชีวิต     แม้แต่รูปแบบชีวิตชั้นต่ำที่สุดก็ยังมีความรู้สึก,ไวต่อสิ่งเร้า,มีศักยภาพในการแสดงออก   ในบรรดาสัตว์ชั้นสูงขึ้นไป,จะแสดงออกทางระบบประสาทและสมอง “จิตสำนึกโดยตัวเอง” ของเฮเกล เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นที่เป็นไปไม่ได้     โดยกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว..มนุษย์ค่อยๆมีจิตสำนึกของตนต่อโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่  สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆหรืออย่างอัตโนมัติ   ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์แต่ละคนจะได้มาซึ่งจิตสำนึกโดยอัตโนมัตก็โดยผ่านจากวัยเด็กไปสู่ผู้ใหญ่...ทั้งสองกรณี,กระบวนการที่เกิดขึ้น..บ่อยครั้งโดยผ่านระยะเวลาที่เจ็บปวดและยาวนาน   การพัฒนาความคิดของมนุษย์นั้นจะสะท้อนอยู่ในประวัติศาสตร์ของปรัชญา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมโดยทั่วไป,มันเผยให้เห็นถึงกระบวนการของความขัดแย้ง,.ที่ขั้นตอนหนึ่งเข้าไปแทนที่ขั้น  ตอนอื่นๆ และในทางกลับกันก็ถูกแทนที่ด้วยขั้นตอนที่ใหม่กว่าอีกเช่นกัน      การพัฒนาทางความคิดไม่ได้เป็นเส้นตรง   หากแต่จะต้องมีสิ่งอื่นๆมายับยั้งอยู่ตลอด..มีการขัดขวาง  ชะงักงัน  และแม้แต่การย้อนกลับ   ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นพื้นฐานในการตระเตรียมไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

1.ความคิดพัฒนาอย่างไร?
ความคิดของมนุษย์เริ่มแรกสุด   คือความสนใจสิ่งใกล้ตัวและเป็นช่วงระยะดั้งเดิม..เป็นความรู้สึกด้านสัม ผัสของมนุษย์ในยุคแรกๆ    โดยผ่านความรู้สึก..เริ่มที่จะซึมซับและจดจำข้อมูลโดยตรงภายใต้เงื่อนไขของสิ่งที่แวดล้อมของตนเอง..โดยไม่มีความเข้าใจต่อธรรมชาติอย่างแท้จริง ,ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความ สัมพันธ์ของเหตุและผลและกฎพื้นฐานของมัน    จากการสังเกตและประสบการณ์... มนุษย์ค่อยๆเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป,  เช่นจำนวน   จำนวนมากหรือน้อยที่มีลักษณะเป็นนามธรรม    กระบวนการเหล่านี้ พร้อมไปกับการใช้แรงงานและท่องไปในโลกเป็นเวลายาวนานนับล้านปี,     แม้จะมีการการดิ้นรนไขว่คว้าทั้งจากความคิดและวิทยาศาสตร์อย่างมากมายแล้ว,   ความคิดโดยปกติทั่วไปก็ยังอยู่ในระดับดั้งเดิมอยู่ เมื่อเราเริ่มพิจารณาวัตถุใดๆ, รูปแบบความคิดครั้งแรกจะไม่รวมถึงเนื้อหารูปธรรมทั้งหมดและรายละเอียดที่มีความเชื่อมต่อสัมพันธ์กันของมัน   หากแต่เป็นเพียงรูปร่างทั่วไปซึ่งเป็นสภภาวะนามธรรมล้วนๆ ดังนั้น..นักปรัชญาแถบทะเลไอโอเนียน(กรีซ)และแม้แต่พุทธศาสนาก็หยั่งรู้และเข้าใจจักรวาลโดยรวมว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างวิภาษ      แต่ความรับรู้เบื้องต้นนี้มีคำอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมที่ไม่เพียงพอ    จึงมีความจำเป็นที่จะดำเนินการต่อไปด้วยการแสดงออกถึงภาพที่ชัดเจน,    ด้วยการวิเคราะห์และกำหนดความสัมพันธ์ที่แน่นอนในเนื้อหาของมัน, จะต้องแยกแยะและวัดหรือกำหนดทั้งในด้านปริมาณด้วย   ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้..ย่อมเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์  นี่จึงเป็นความแตกต่างกันระหว่างความคิดที่หยาบง่าย   เร่งรัด  ไม่มีการพัฒนา  และไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์  
รุ่งอรุณทางด้านจิตสำนึกของมนุษยชาติ   ชายและหญิงไม่ได้แยกตัวเองออกจากธรรมชาติอย่างชัด   เจน  เช่นเดียวกับทารกแรกเกิดที่ยังไม่แยกตัวเองออกจากมารดา    จากระยะเวลาที่ยาวนานแบบค่อยเป็นค่อยไป...มนุษย์ได้ตระหนักถึงความแตกต่างจากการเรียนรู้โลกโดยการตรวจสอบสิ่งที่ตนยังงวยงงสงสัยในเครือข่ายของปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ห้อมล้อมตนเอง   เฝ้าสังเกต  เปรียบเทียบ   วางหลัก การ  และทำการสรุปด้วยวิธีเช่นนี้ในช่วงนับเป็นหลายพันปี   การวางหลักการสำคัญล้วนถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์ซึ่งค่อยๆตกผลึกเป็นรูปแบบของความคิดที่เรามีความคุ้นเคยกับมัน,ยอมรับมัน,
โดยปกติ,ทุกๆวันความคิดจะขึ้นอยู่กับความรู้สึก  ประสบการณ์  ลักษณะภายนอก  และการผสมผสาน ประสบการณ์และการคิดอย่างผิวเผินที่เรียกกันว่า ”ความรู้สึกแบบพื้นๆ”(common sense)  สิ่งเหล่านี้ เพียงพอสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวันโดยทั่วไป       แต่มันไม่เพียงพอสำหรับทำความเข้าใจในทางวิทยาศาสตร์  ซึ่งในบางจุด..ใช้การไม่ได้และกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์..แม้แต่เพื่อเป้าหมายทางการปฏิบัติ      มันมีความจำเป็นต้องไปให้ไกลกว่าประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการสัมผัส   และเข้าใจต่อ กระบวนการทั่วไป,กฎและความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่   ซึ่งอยู่นอกเหนือจากภาพลวงตาที่ปรากฏอยู่ภาย นอก
ความคิดโดยปกติของมนุษย์มักจะเอนเอียงที่จะยึดติดกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือสิ่งที่คุ้นเคย     มันง่ายกว่าที่จะยอมรับในสิ่งที่ปรากฏอยู่และคุ้นเคยมากกว่าความคิดใหม่ๆซึ่งท้าทายต่ออะไรที่คุ้นเคยและประสบอยู่เป็นกิจวัตรเช่น    วิธีการที่เป็นปกติวิสัย  จารีต  ประเพณีและระเบียบแบบแผนทางสังคมที่เป็นตัวแทนอำนาจในสังคม   คล้ายๆกับแรงเฉื่อยในกลศาสตร์     ในเวลาปกติคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจที่จะตั้งคำถามต่อสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเรื่องของ  ศีลธรรม  อุดมการณ์  และรูปแบบของมัน   อคติทุกชนิด  ความคิดทางการเมือง    “วิทยาศาสตร์ แบบดั้งเดิมจะถูกยอมรับโดยไม่ต้องพินิจพิเคราะห์    จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในชีวิตที่ผลักดันให้พวกเขาลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่า มันคืออะไรกัน
สังคมและการปรองดองกันทางความคิดคือรูปแบบของการหลอกลวงตนเองที่สามัญที่สุด   ความคิดที่คุ้นเคย(ไม่ว่าผิดหรือถูก)จะถูกดึงไปสู่ความถูกต้องเนื่องจากว่าพวกเขาคุ้นเคยกับมัน    ดังนั้นความรับรู้จึงเป็นเพียงสมบัติส่วนตัว   ทรัพย์สินและครอบครัวของชนชั้นนายทุนจึงเป็นนิรันดร์และเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เป็นรูปแบบชีวิตที่ฝังลึกลงไปในจิตสำนึกโดยทั่วไป,แม้ว่ามันจะมีความสัมพันธ์น้อยมากกับความเป็นจริง     วิภาษวิธีจึงอยู่ตรงกันข้ามโดยตรงกับวิธีคิดที่ไม่มีความลุ่มลึกและแนวทางที่ซ้ำซากเช่นนี้     แน่นอนที่สุด..เนื่องจากมันท้าทายต่อความคิดที่คุ้นเคยเช่นนั้น..มันกระตุ้นอย่างรุนแรงและสม่ำ เสมอต่อสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม     มันมีความเป็นไปได้แค่ไหน ในการท้าทายกฏของความเป็นเอกลักษณ์  ที่ว่า เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า “A” เท่ากับ “A” ?      นี่คือสิ่งที่เรียกว่าภาพสะท้อนของตรรกะที่เอนเอียงไปสู่แบบอย่างเป็นที่นิยมกัน.ว่าทุกๆอย่างเป็นอย่างที่มันเป็นและไม่ใช่อย่างอื่น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง      ซึ่งตรงกันข้ามกับวิภาษวิธีที่เริ่มต้นจากมุมมองที่ตรงกันข้ามที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง,ด้วยการก้าวเข้ามาแล้วก็จากไป

นักคิดแบบประสบการณ์นิยมทั้งหลาย..ที่ยืนยันว่าสรรพสิ่งล้วน ”เป็นอย่างที่มันเป็น” จินตนาการไปเองว่าเหมาะสมและเป็นรูปธรรม...   แต่ในความเป็นจริงสรรพสิ่งไม่ได้ดำรงอยู่อย่างที่มันเป็นอยู่ตลอดเวลาและมีบ่อยครั้งมันแปรเปลี่ยนไปเป็นด้านตรงกันข้าม      ความรู้สึกรับรู้อย่างกระทันหันเป็นความรับรู้ขั้นต่ำสุดของความรับรู้,เหมือนความรับรู้ของทารก        ความเข้าใจที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงนั้นเรียกร้องให้เราทำการแยกแยะข้อมูลต่างๆที่ได้รับจากความรู้สึกสัมผัส     เพื่อให้เข้าถึงความจริงของธรรมชาติแห่งสรรพสิ่งภายใต้การพินิจพิจารณา     การวิเคราะห์ที่ลึกลงไปมักจะเผยให้เห็นแนวโน้มของความขัดแย้งที่ปรากฏขึ้นอยู่เสมอซึ่งเป็นสิ่งแฝงเร้นอยู่แม้แต่ในสิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้    มีลักษณะที่ชัด เจนและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้..     ที่สุดมันจะนำไปสู่การแปรเปลี่ยนไปเป็นด้านตรงกันข้าม   และแน่ นอนความขัดแย้งเหล่านี้คือต้นตอของชีวิตทั้งมวลที่เคลื่อนไหวพัฒนาโดยผ่านธรรมชาติ     เพื่อความเข้าใจอย่างแท้จริง..  มีความจำเป็นที่จะต้องมองสรรพสิ่งไม่เพียงแค่อย่างที่มันเป็นเท่านั้น..หากแต่ต้องมองถึงความเป็นมาของมัน..และมองว่ามันจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไรด้วย

สำหรับเป้าประสงค์วันต่อวันนั้นตรรกะแบบแผนและ”สามัญสำนึก”ย่อมเป็นการเพียงพอ,แต่ไกลไปกว่านั้นมันมีความจำกัดที่จะประยุกต์ใช้ได้   ณ.จุดนี้วิภาษวิธีได้กลายเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างที่สุดไม่เหมือนตรรกะแบบที่ไม่เข้าใจถึงความขัดแย้ง อีกทั้งยังพยายามจะขจัดมันออกไปอีกด้วย      วิภาษวิธีได้แสดงให้เห็นถึงตรรกะแห่งความขัดแย้งซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของธรรมชาติและความคิด(thought)    โดยกระบวนการวิเคราะห์, วิภาษวิธีแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งเหล่านี้และบอกถึงวิธีว่าจะแก้ปัญหาอย่าง ไร?  อย่างไรก็ตามความขัดแย้งใหม่ๆมักจะปรากฏขึ้นเสมอ    ดังนั้นจึงก่อให้เกิดเกลียวของการพัฒนาที่ไม่รู้จักจบสิ้น    กระบวนการเช่นนี้สามารถเห็นได้จากการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และปรัชญาที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง     และนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญมันได้สะท้องถึงธรรมชาติแห่งความรับรู้ของมนุษย์ที่เป็น กระบวนการที่ไม่มีขอบเขต...ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาให้จบสิ้นลงและในทันทีก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาและก็กลับไปแก้ปัญหาใหม่อีกตลอดไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าเราเริ่มต้นจากรูปแบบที่ต่ำที่สุดของความรับรู้   ในระดับของความรู้สึกจากประสบการณ์,ความจำกัดของตรรกะแบบแผน และ”สามัญสำนึก”  ในที่สุดก็จะมีความกระจ่าง   จิตใจจะจดบันทึกความจริงที่เราประสบอย่างปกติทั่วไป     เมื่อแรกเห็น..ความจริงจากความรู้สึกสัมผัส ดูเหมือนว่าธรรมดาและชัดแจ้งในตัวมันเอง    เราสามารถมีความเชื่อมั่นได้เมื่อทำการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด, แต่บรรดาสรรพสิ่งนั้นย่อมไม่ธรรมดาเช่นนั้น....สิ่งที่ดูเหมือนจะมั่นคง...สิ่งที่ปรากฏรูปร่างมั่นคงและเชื่อถือได้  กลับไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น    โลกเคลื่อนไหวไปใต้ฝ่าเท้าของเรา

ความรู้สึกที่แน่นอนเริ่มจาก “ที่นี่” และ “เดี๋ยวนี้”  เฮเกลกล่าวว่า...“ความรู้สึกที่แน่นอนเองนั้นควรจะถามว่าอะไรคือสิ่ง “นี้”?   ถ้าเราทำให้มันเป็นรูปพับสองด้านของการดำรงอยู่ของมันเช่น ”เดี๋ยวนี้” และ ”ที่นี่” วิภาษวิธีที่มีอยู่ในนั้นจะมีรูปแบบที่เข้าใจได้อย่างแจ่มชัดในตัวเองของ “สิ่งนี้” คำถามอยู่มีว่า “เดี๋ยวนี้” คืออะไร? เราตอบว่า..ตัวอย่างเช่น “เดี๋ยวนี้” คือ เวลากลางคืน   เพื่อพิสูจน์ความจริงของความแน่นอนของความรู้สึกนี้,ด้วยการทดลองแบบง่ายๆอย่างที่เราต้องการ...โดยการเขียนความจริงลงไป      ความจริงไม่ได้สูญเสียไปในขณะที่เขียน..ทีนี้เรามามองดู..มันเป็นเวลาเที่ยงวัน    ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่ามันได้เปลี่ยนไปและกลายเป็นสิ่งที่เก่าไปแล้ว” (Op. cit., p. 151.)


ความเห็นนี้ของเฮเกลทำให้หวนคิดถึงคำกล่าวที่ยากแก่การเข้าใจอันลือลั่นของเซโน(Zeno )ในเรื่องความสัมพันธ์ของการเคลื่อนที่  ตัวอย่างเช่น..ถ้าเราต้องการกำหนดตำแหน่งของลูกธนูที่กำลังเคลื่อนที่อยู่และถามว่าตอนนี้มันอยู่ตรงไหน   ในขณะที่เรากำลังชี้..มันได้ผ่านไปแล้ว   และคำว่า“เดี๋ยวนี” ก็ไม่ ใช่อะไรอีกต่อไปแต่มันเป็นบางอย่างที่ผ่านไปแล้ว   ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏขึ้นจริงในครั้งแรกนั้นได้กลายไปเป็นสิ่งที่ผิดแผกไป     เหตุผลจะถูกพบในธรรมชาติของการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกัน   ความขัดแย้งเป็นกระบวนการ..ไม่ใช่การรวมตัวของจุดที่แตกต่างกัน    สิ่งที่คล้ายคลึงกันเวลาประกอบไปด้วยจำนวน ”เดี๋ยวนี้” ทั้งหมดที่รวมกันอย่างไม่มีขอบเขต    ในทำนองเดียวกัน “ที่นี่” ก็ไม่ได้เป็น “ที่นี่”แต่โดดๆอีกต่อไป แต่มีก่อนและหลัง..บนและล่าง..ขวาและซ้าย  เหมือนนี่คือต้นไม้ ซึ่งในเวลาถัดไปนี่คือบ้าน หรือเป็นสิ่งอื่นๆไปแล้ว...จบตอน 1

Wednesday, January 20, 2016

นิพนธ์เหมาเจ๋อตุง

เกี่ยวกับการแก้ความคิดที่ผิดพลาดภายในพรรค     (ธันวาคม ๑๙๒๙)

หมายเหตุ: เรื่องนี้เป็นมติซึ่งสหายเหมาเจ๋อตุงเขียนขึ้นสำหรับสมัชชาผู้แทนพรรคในกองทัพที่ ๔ แห่งกองทัพแดงครั้งที่ ๙.  การสร้างกองทหารของประชาชนจีนนั้นได้ผ่านวิถีทางอันลำบากยากเข็ญ.กองทัพแดงของจีน (ในสมัยสงครามต่อต้านญี่ปุ่นคือกองทัพลู่ที่ ๘ และกองทัพที่ ๔ ใหม่ ปัจจุบันคือกองทัพปลดแอกประชาชน) นับแต่ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในสมัยลุกขึ้นสู้ที่หนานชาง*  เมื่อวันที่ ๑ สิงหา คม ๑๙๒๗ จนถึงเดือนธันวาคม ๑๙๒๙ ก็เป็นเวลา ๒ ปีเศษแล้ว. ในระยะเวลาดังกล่าวนี้พรรคคอม มิวนิสต์ในกองทัพแดง ได้ต่อสู้กับความคิดที่ผิดนานาชนิด ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นอันมากและได้สะสมความจัดเจนไว้อุดมสมบูรณ์พอดู.       มติที่สหายเหมาเจ๋อตุงเขียนขึ้นนี้ก็คือข้อสรุปของความจัดเจนเหล่านี้นั่นเอง. มตินี้ยังผลให้กองทัพแดงตั้งอยู่บนพื้นฐานลัทธิมาร์กซ-เลนินโดยสมบูรณ์ และขจัดผลสะเทือนทั้งปวงของกอทัพแบบเก่าจนหมดไป.     มตินี้ไม่เพียงแต่นำไปปฏิบัติในกองทัพที่ ๔ แห่งกองทัพแดงเท่านั้น  ต่อมากองทัพแดงหน่วยอื่น ๆ ก็ได้ ปฏิบัติตามนี้ด้วยก่อนบ้างหลังบ้าง เช่นนี้ จึงทำให้กองทัพแดงของจีนทั้งกองทัพเป็นกองทัพของประชาชนที่แท้จริงโดยสมบูรณ์. ในระยะ ๒๐ กว่าปีมานี้ งานด้านพรรคและงานด้านการเมืองในกองทหารของประชาชนจีน ได้ขยายตัวออกไปและมีการคิดประดิษฐ์ใหม่ ๆ อย่างกว้างขวาง โฉมหน้าในปัจจุบันกับในอดีตแตกต่างกันมากทีเดียว, แต่แนวทางพื้นฐานยงคงเป็นแนวทางแห่งมตินี้อยู่.
«««
เกี่ยวกับการแก้ความคิดที่ผิดพลาดภายในพรรค
ภายในองค์การจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์ในกองทัพที่ ๔ แห่งกองทัพแดงมีความคิดนานาชนิดที่มิใช่ความคิดชนชั้นกรรมาชีพอยู่ ทั้งนี้เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงในการปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องของพรรค. ถ้าไม่แก้ให้ถึงที่สุดแล้ว กองทัพที่ ๔ แห่งกองทัพแดงก็จะแบกรับภาระหน้าที่ที่การต่อสู้ปฏิวัติอันยิ่ง ใหญ่ของจีนได้มอบให้นั้นไม่ได้อย่างแน่นอน. บ่อเกิดของความคิดที่ไม่ถูกต้องต่าง ๆ ในองค์การจัดตั้งของพรรคในกองทัพที่ ๔ นั้น ย่อมเนื่องมาจากพื้นฐานการจัดตั้งของพรรค ส่วนใหญ่ที่สุดประกอบด้วยบุคคลที่ถือกำเนิดจากชาวนาและชนชั้นนายทุนน้อยอื่น ๆ
แต่การที่องค์การนำของพรรคมิได้ต่อสู้กับความคิดที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้อย่างเด็ดเดี่ยวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมิได้ให้การศึกษาในแนวทางที่ถูกต้องแก่สมาชิกพรรคนั้น ก็เป็นเหตุอันสำคัญที่ทำให้ความคิดที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้มีอยู่และขยายตัวไป. อาศัยเจตนารมณ์ในจดหมายของศูนย์กลางฉบับเดือนกันยายน  สมัชชานี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการแสดงออกและบ่อเกิดความคิดนานาชนิดที่มิใช่ความคิดชนชั้นกรรมาชีพภายในองค์การจัดตั้งของพรรคในกองทัพที่ ๔ ตลอดตนวิธีแก้ความคิดเหล่านี้และเรียกร้องให้สหายทั้งหลายขจัดความคิดเหล่านี้ให้หมดไปโดยสิ้นเชิง.
เกี่ยวกับทรรศนะเอาแต่การทหาร
ทรรศนะเอาแต่การทหารได้ขยายออกไปมากเหลือเกินในหมู่สหายส่วนหนึ่งในกองทัพแดง โดยแสดงออกดังนี้ เช่น:
(๑) ถือว่าการทหารกับการเมืองสองสิ่งนี้ขัดกัน ไม่ยอมรับว่าการทหารเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งในการบรรลุภาระหน้าที่ทางการเมือง. ที่บางคนถึงกับกล่าวว่า “ถ้าการทหารดี, การเมืองย่อมจะดีด้วย ถ้าการทหารไม่ดี การเมืองก็จะดีไปไม่ได้” นั้น ก็ยิ่งถือว่าการทหารนำการเมืองเลยทีเดียว.
(๒) คิดว่าภาระหน้าที่ของกองทัพแดง ก็คล้ายกับของกองทหารขาว คือเอาแต่รบอย่างเดียวเท่านั้น. ไม่รู้ว่ากองทัพแดงของจีนเป็นกลุ่มกำลังอาวุธที่ปฏิวัติ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน กองทัพแดงมิใช่เอาแต่รบถ่ายเดียวอย่างเด็ดขาด นอกจากรบเพื่อทำลายกำลังทางการทหารของข้าศึกแล้วกองทัพนี้ยังต้องแบกรับภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งหลายประการ เป็นต้นว่า โฆษณาต่อมวลชน, จัดตั้งมวลชน ติดอาวุธให้แก่มวลชน ช่วยมวลชนก่อตั้งอำนาจรัฐปฏิวัติ ตลอดจนก่อตั้งองค์การจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นด้วย. การรบของกองทัพแดงมิใช่รบเพื่อรบอย่างเดียว, หากแต่รบเพื่อโฆษณาต่อมวลชน จัดตั้งมวลชน ติดอาวุธให้แก่มวลชน และช่วยมวลชนสร้างอำนาจรัฐปฏิวัติ ถ้าหากปราศจากเป้าหมายในการโฆษณาต่อมวลชน จัดตั้งมวลชน ติดอาวุธให้แก่มวลชน และช่วยมวลชนสร้างอำนาจรัฐปฏิวัติเหล่านี้แล้ว, การรบก็หมดความหมาย การดำรงอยู่ของกองทัพแดงก็หมดความหมายด้วย.
(๓) ดังนั้น ในด้านการจัดตั้ง จึงเอาองค์การปฏิบัติงานด้านการเมืองของกองทัพแดงไปขึ้นต่อองค์การปฏิบัติงานด้านการทหาร และเสนอคำขวัญ “เรืองภายนอกเป็นธุระของกองบัญชาการ”, ถ้าความคิดชนิดนี้ขยายตัวต่อไปแล้วก็มีอันตรายที่จะก้าวไปสู่การห่างเหินจากมวลชนใช้กองทัพควบคุมอำนาจรัฐ และผละจากการนำของชนชั้นกรรมาชีพ, อันเป็นทางแห่งลัทธิขุนศึก เหมือนดั่งที่กองทัพก๊กมิ่นตั๋งได้เดินมาแล้ว.
(๔) ขณะเดียวกันในด้านงานโฆษณา  ก็มองข้ามความสำคัญของกองโฆษณา. และในด้านการจัดตั้งมวลชนก็มองข้ามการจัดตั้งคณะกรรมการพลทหารในกองทัพและการจัดตั้งมวลชนกรรมกรชาวนาในท้องถิ่น. ผลสุดท้าย ทั้งงานโฆษณาและงานจัดตั้งก็อยู่ในภาวะที่ถูกล้มเลิกไป.
(๕) รบชนะก็หยิ่ง รบแพ้ก็ท้อ.
(๖) ถือลัทธิหน่วยงานส่วนตน ทุกสิ่งทุกอย่างคำนึงแต่กองทัพที่ ๔ ไม่รู้ว่าการติดอาวุธให้แก่มวลชนในท้องถิ่นเป็นภาระหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของกองทัพแดง. นี่เป็นลัทธิคณะย่อยที่ขยายแล้วชนิดหนึ่ง.
(๗) มีสหายจำนวนน้อยส่วนหนึ่งจำกัดตัวเองอยู่แค่สิ่งแวดล้อมเฉพาะส่วนของกองทัพที่ ๔ คิดว่านอกจากกองทัพที่ ๔ แล้ว ก็ไม่มีกำลังปฏิวัติอื่นใดอีก. ด้วยเหตุนี้ ความคิดที่จะรักษากำลังไว้และหลีกเลี่ยงการต่อสู้จึงมีอยู่หนาแน่นมาก. นี่คือเศษเดนลัทธิฉวยโอกาส.
(๘) ไม่คำนึงถึงเงื่อนไขทางอัตวิสัยและภววิสัยเป็นโรคใจร้อนในการปฏิวัติ  ไม่ยอมทนลำบากทำงานมวลชนเล็ก ๆ น้อย ๆ และละเอียดรอบคอบคิดแต่จะทำเป็นการใหญ่และเต็มไปด้วยความเพ้อฝัน. นี่คือเศษเดนลัทธิสุ่มเสี่ยง.
บ่อเกิดของทรรศนะเอาแต่การทหารมีดังนี้:
(๑) ระดับการเมืองต่ำ. ดังนั้นจึงไม่เข้าใจบทบาทของการนำทางการเมืองในกองทัพ ไม่เข้าใจว่ากองทัพแดงกับกองทัพขาวนั้นแตกต่างกันในขั้นมูลฐานทีเดียว.
(๒) ความคิดทหารรับจ้าง.  เนื่องจากในการรบแต่ละครั้งจับทหารเชลยได้เป็นจำนวนมาก คนชนิดนี้เมื่อเข้าร่วมกองทัพแดงก็นำเอาความคิดทหารรับจ้างที่หนาแน่นเข้ามาด้วย จึงทำให้ทรรศนะเอาแต่การทหารมีพื้นฐานจากชั้นล่าง.
(๓) เนื่องจากเหตุสองประการดังกล่าว จึงได้เกิดเหตุประการที่ ๓ ขึ้น คือเชื่อกำลังทางการทหารมากเกินไป แต่ไม่เชื่อกำลังมวลประชาชน.
(๔) การที่พรรคไม่ได้สนใจและอภิปรายงานด้านการทหารอย่างเอาการเอางานนั้น ก็เป็นเหตุที่ทำให้เกิดทรรศนะเอาแต่การทหารขึ้นในหมู่สหายส่วนหนึ่ง.
วิธีแก้:
(๑) ยกระดับการเมืองภายในพรรคด้วยการให้การศึกษา,ขจัดสมุฏฐานทางทฤษฎีของทรรศนะเอาแต่การทหารให้หมดสิ้นทำความเข้าใจให้ชัดแจ้งถึงความแตกต่างขั้นมูลฐานระหว่างกองทัพกับกองทัพขาว.พร้อมกันนั้น ยังจะต้องขจัดเศษเดนลัทธิฉวยโอกาสและเศษเดนลัทธิสุ่มเสี่ยงให้หมดสิ้นและทำลายลัทธิหน่วยงานส่วนตนในกองทัพที่ ๔ ด้วย.
(๒) เร่งให้การฝึกอบรมทางการเมืองแก่นายและพลทหาร, โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเร่งให้การศึกษาทางการเมืองแก่ทหารที่มาจากเชลย.พร้อมกันนั้น ก็ให้องค์การอำนาจรัฐท้องถิ่นคัดเลือกกรรมกรและชาวนาที่มีความจัดเจนในการต่อสู้ ส่งเข้ากองทัพแดงเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อบั่นทอนหรือกระทั่งขจัดสมุฏฐานทรรศนะเอาแต่การทหารให้หมดสิ้นไปด้านการจัดตั้ง.
(๓) ปลุกระดมพรรคในองค์การท้องถิ่นให้วิจารณ์พรรคในกองทัพแดงและปลุกระดมองค์การอำนาจรัฐของมวลชนให้วิจารณ์กองทัพแดง เพื่อก่อผลสะเทือนแก่พรรคในกองทัพแดง และต่อนายและพลทหารของกองทัพแดง.
(๔) พรรคต้องสนใจและอภิปรายงานด้านการทหารอย่างเอาการเอางาน,การงานทุกอย่างให้พรรคอภิปรายและลงมติก่อน แล้วนำไปปฏิบัติโดยผ่านมวลชน.
(๕) วางกฎข้อบังคับกองทัพแดง ระบุชัดซึ่งภาระหน้าที่ความสัมพันธ์ระหว่างระบบงานฝ่ายการทหารกับระบบงานฝ่ายการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพแดงกับมวลประชาชนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพลทหาร,และความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการนี้กับกับองค์การทางทหารและทางการเมือง.

เกี่ยวกับประชาธิปไตยเฟ้อ
หลังจากกองทัพที่ ๔ แห่งกองทัพแดงได้รับคำชี้แนะจากศูนย์กลางแล้ว ปรากฏการณ์ที่เป็นประชาธิปไตยเฟ้อก็ลดน้อยลงไปมาก.เป็นต้นว่า ปฏิบัติตามมติของพรรคได้ค่อนข้างดีแล้ว;ข้อคิดเห็นที่ผิดซึ่งเรียกร้องให้กองทัพแดงดำเนินสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยรวมอำนาจจากชั้นล่างสู่ชั้นบน”“ให้ชั้นล่างอภิปรายก่อน แล้วจึงให้ชั้นบนลงมติ” นั้น ก็ไม่มีใครเสนอขึ้นอีกแล้ว.แต่ในทางความเป็นจริงแล้วการลดน้อยลงเช่นนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราวและผิวเผินเท่านั้น, ยังมิใช่ว่าได้ขจัดความคิดประชาธิปไตยเฟ้อให้หมดสิ้นไปแล้ว. กล่าวคือ รากเหง้าประชาธิปไตยเฟ้อยังคงฝังลึกอยู่ในความคิดของสหายจำนวนมาก เป็นต้นว่า แสดงท่าทีฝืนใจต่าง ๆ นานาในการปฏิบัติตามมติของพรรค ซึ่งก็เป็นหลักฐานยืนยันในข้อนี้อยู่แล้ว.
วิธีแก้:
(๑) ให้ขุดรากประชาธิปไตยเฟ้อทิ้งเสียโดยทางทฤษฎี.ก่อนอื่น จะต้องชี้ให้เห็นว่า อันตรายของประชาธิปไตยเฟ้ออยู่ที่ก่อความเสียหายหรือกระทั่งทำลายองค์การจัดตั้งของพรรคจนหมดสิ้นบั่นทอนหรือกระทั่งทำลายสมรรถภาพสู้รบของพรรคโดยสิ้นเชิงทำให้พรรคไม่สามารถแบกรับหน้าที่การต่อสู้ เป็นเหตุให้การปฏิวัติพ่ายแพ้. ต่อมาต้องชี้ให้เห็นว่า บ่อเกิดประชาธิปไตยเฟ้อนั้น อยู่ที่ความเสรีไม่มีระเบียบวินัยของชนชั้นนายทุนน้อย.เมื่อความเสรีไม่มีระเบียบวินัยนี้ถูกนำมาใช้ในพรรคก็จะกลายเป็นประชาธิปไตยเฟ้อทั้งทางการเมืองและทางการจัดตั้ง.ความคิดชนิดนี้เข้ากันกับภาระหน้าที่การต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพโดยสิ้นเชิง.
(๒) ในด้านการจัดตั้ง. ให้เคร่งครัดในการดำเนินชีวิตประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำที่รวมศูนย์ตามแนวทางดังนี้ คือ
๑. องค์การนำของพรรคต้องมีการชี้นำที่ถูกต้อง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะต้องมีวิธีแก้ เพื่อสร้างศูนย์กลางนำขึ้น.
๒. องค์การชั้นบนต้องเข้าใจสภาพขององค์การชั้นล่างและสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของมวลชน เพื่อเป็นพื้นฐานทางภววิสัยของการชี้นำทาการเมือง.
๓. ในการแก้ปัญหาองค์การชั้นต่าง ๆ ของพรรคต้องไม่ทำอย่างลวก ๆ. เมื่อเป็นมติแล้ว ก็ต้องปฏิบัติอย่างเด็ดเดี่ยว.
๔. มติใด ๆ ที่สำคัญหน่อยขององค์การชั้นบน ต้องถ่ายทอดให้องค์การชั้นล่างและมวลสมาชิกพรรคทราบโดยด่วน. วิธีก็คือ เรียกประชุมผู้เอาการเอางานหรือเรียกประชุมหน่วยพรรค หรือกระทั่งเรียกประชุมสมาชิกพรรคทั้งหมดในขบวน1 นั้น ๆ (เมื่อสภาพแวดล้อมอำนวยให้) และส่งคนไปรายงานในที่ประชุมด้วย.
๕. องค์การชั้นล่างของพรรคและมวลสมาชิกพรรคต้องอภิปรายคำชี้แนะขององค์การชั้นบนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้เข้าใจถึงความหมายของคำชี้แนะโดยตลอด และกำหนดวิธีการที่จะนำคำชี้แนะนั้น ๆ ไปปฏิบัติด้วย.

เกี่ยวกับทรรศนะไร้การจัดตั้ง
ทรรศนะที่ไร้การจัดตั้งซึ่งมีอยู่ภายในองค์การจัดตั้งของพรรคในกองทัพที่ ๔  นั้น แสดงออกดังนี้:
ก. เสียงข้างน้อยไม่ปฏิบัติตามเสียงข้างมาก.เป็นต้นว่าเมื่อญัตติของคนส่วนข้างน้อยตกไปในที่ประชุมแล้ว พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติตามมติของพรรคอย่างจริงใจ.
วิธีแก้:
(๑) เวลาประชุมต้องให้ผู้ร่วมประชุมแสดงความเห็นอย่างเต็มที่. เมื่อเกิดปัญหาโต้แย้งกันขึ้น ก็ต้องทำความเข้าใจให้ชัดแจ้งว่าอะไรถูกอะไรผิด อย่าได้ประนีประนอมหรือทำอย่างขอไปที. เมื่อประ ชุมครั้งเดียวไม่สามารถแก้ตกไปได้ ก็ให้ประชุมหารือกันอีกครั้ง (โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่ระทบกระ เทือนถึงงาน) เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดแจ้ง.
(๒) ข้อหนึ่งในวินัยของพรรคคือ ส่วนข้างน้อยปฏิบัติตามส่วนข้างมาก.เมื่อความเห็นของคนส่วนข้างน้อยถูกปฏิเสธไปแล้ว คนส่วนข้างน้อยนั้นก็ต้องสนับสนุนมติที่ผ่านโดยคนส่วนข้างมาก. นอกจากเมื่อมีความจำเป็นก็ให้เสนอเข้าสู่ที่ประชุมเพื่ออภิปรายในครั้งต่อไปแล้ว จะแสดงการคัดค้านใด ๆ ในทางการกระทำไม่ได้.
ข. การวิจารณ์ที่ไร้การจัดตั้ง:
(๑) การวิจารณ์ภายในพรรคเป็นอาวุธที่เสริมความเข้มแข็งให้แก่องค์การจัดตั้งของพรรคและเพิ่มพูนสมรรถภาพในการสู้รบของพรรค.แต่การวิจารณ์ในองค์การจัดตั้งของพรรคในกองทัพแดงนั้นบางครั้งไม่เป็นเช่นนี้กลับกลายเป็นการโจมตีบุคคลไปผลก็คือ ไม่เพียงแต่ทำลายบุคคลเท่านั้น, หากยังทำลายองค์การจัดตั้งของพรรคอีกด้วย.     ทั้งนี้เป็นการแสดงออกของลัทธิเอกชนชนชั้นนายทุนน้อย. วิธีแก้ก็คือ, ให้สมาชิกพรรคเข้าใจว่าจุดมุ่งหมายของการวิจารณ์นั้นอยู่ที่เพิ่มพูนสมรรถภาพสู้รบของพรรคเพื่อบรรลุชัยชนะในการต่อสู้ทางชนชั้นไม่ควรใช้การวิจารณ์เป็นเครื่องมือโจมตีบุคคล.
(๒) สมาชิกพรรคจำนวนมากไม่วิจารณ์ภายในพรรค, แต่ไปวิจารณ์กันนอกพรรค. ทั้งนี้เนื่องจากสมาชิกพรรคทั่วไปยังไม่เข้าใจความสำคัญขององค์การจัดตั้งของพรรค (การประชุม ฯลฯ) คิดว่าการวิจารณ์ภายในองค์การจัดตั้งหรือนอกองค์การจัดตั้งไม่มีความแตกต่างอะไร. วิธีแก้ก็คือ, ต้องให้การ ศึกษาแก่สมาชิกพรรค เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญ ขององค์การจัดตั้งของพรรค  ถ้ามีอะไรจะวิจารณ์คณะกรรมการพรรคหรือสหาย ก็ควรเสนอในที่ประชุมของพรรค.

เกี่ยวกับลัทธิเฉลี่ยสัมบูรณ์
มีอยู่ระยะหนึ่ง ลัทธิเฉลี่ยสัมบูรณ์ในกองทัพแดงได้ขยายออกไปถึงขั้นร้ายแรงมาก. เป็นต้นว่า การจ่ายค่าใช้จ่ายให้แก่ทหารบาดเจ็บก็คัดค้านการแยกแยะระหว่างรายที่บาดเจ็บเล็กน้อยกับรายที่บาดเจ็บสาหัส เรียกร้องจะให้จ่ายเท่ากันหมด. การที่ยายทหารขี่ม้า ก็ไม่ถือว่าเป็นความจำเป็นในการงานแต่ถือว่าเป็นระบบไม่เสมอภาค. การแบ่งปันสิ่งของก็เรียกร้องจะให้แบ่งปันเท่า ๆ กันอย่างเด็ดขาด ไม่ยอมให้หน่วยที่มีกรณีพิเศษได้รับส่วนแบ่งปันมากกว่าหน่อย. การแบกข้าวก็ไม่คำนึงว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก คนแข็งแรงหรืออ่อนแอ จะให้เฉลี่ยกันแบก.ที่พักก็จะให้แบ่งเท่ากันหมดกองบัญชาการอยู่บ้านหลังใหญ่กว่าหน่อยก็ด่าเอา. การมอบหมายหน้าที่การบริการก็จะให้มอบเท่ากันหมด ให้ทำมากกว่ากันหน่อยเป็นไม่ยอม. แม้กระทั่งในสภาพที่มีทหารบาดเจ็บสองคนแต่มีเปลหามเพียงเปลเดียว ก็ยอมให้ทั้งสองคนไม่ได้ใช้เปลหามเสียดีกว่าจะให้คนเดียวได้ใช้. เหล่านี้ล้วนแต่พิสูจน์ให้เห็นว่า ลัทธิเฉลี่ยสัมบูรณ์ยังร้ายแรงมากในหมู่นายและพลทหารของกองทัพแดง.
บ่อเกิดของลัทธิเฉลี่ยสัมบูรณ์ก็เช่นเดียวกับประชาธิปไตยเฟ้อในทางการเมือง คือเป็นผลผลิตของเศรษฐกิจหัตถกรรม และเศรษฐกิจชาวนาขนาดย่อมต่างกันแต่ว่าอย่างหนึ่งแสดงออกในด้านชีวิตทางการเมือง ส่วนอีกอย่างแสดงออกในด้านชีวิตทางวัตถุเท่านั้นเอง.
วิธีแก้: ควรชี้ให้เห็นว่า ลัทธิเฉลี่ยสัมบูรณ์นั้นไม่เพียงแต่เป็นความเพ้อฝันอย่างหนึ่งของชาวนาและนายทุนน้อยในสมัยที่ทุนนิยมยังไม่ถูกทำลายไปเท่านั้น;แม้ในสมัยสังคมนิยม การแบ่งปันวัตถุก็ต้องดำเนินไปตามหลักการที่ว่า “แต่ละคนทำงานเท่าที่สามารถ รับผลตอบแทนตามงานที่ทำ”และตามความจำเป็นของงาน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเฉลี่ยสัมบูรณ์อย่างแน่นอน.การแบ่งปันวัตถุสิ่งของในหมู่พลพรรคของกองทัพแดงควรเฉลี่ยให้เท่ากันโดยส่วนใหญ่เป็นต้นว่า ให้นายและพลทหารรับเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงเท่ากันเพราะว่าทั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสภาพแวดล้อมของการต่อสู้ในปัจจุบัน. แต่ต้องคัดค้านลัทธิเฉลี่ยสัมบูรณ์ที่ไม่คำนึงถึงเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าไม่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการต่อสู้ ตรงกันข้าม กลับจะเป็นอุปสรรคสำหรับการต่อสู้.

เกี่ยวกับลัทธิเอกชน
ความโน้มเอียงลัทธิเอกชนภายในองค์การจัดตั้งของพรรคในกองทัพแดงแสดงออกดังนี้:
(๑) ลัทธิแก้แค้น, เมื่อถูกสหายพลทหารวิจารณ์ภายในพรรคแล้ว ก็หาโอกาสแก้แค้นเขานอกพรรค การตบตีด่าว่าก็เป็นวิธีการแก้แค้นอย่างหนึ่ง. นอกจากนี้ยังหาทางแก้แค้นกันในพรรค;ในที่ประ ชุมคราวนี้แกว่าฉัน ในที่ประชุมคราวหน้าฉันจะหาเรื่องแก้แค้นแก.ลัทธิแก้แค้นเช่นนี้เริ่มต้นจากทรรศนะเพื่อเอกชนทั้งสิ้นไม่นำพาต่อผลประโยชน์ของชนชั้นและผลประโยชน์ของพรรคทั้งพรรค.เป้าหมายของมันไม่ใช่ชนขั้นที่เป็นอริ แต่กลับเป็นบุคคลอื่นๆ ในขบวนของเราเอง.นี่เป็นยากัดที่บั่นทอนองค์การ จัดตั้งและสมรรถภาพสีรบอย่างหนึ่ง.
(๒) ลัทธิคณะย่อย. สนใจแต่ผลประโยชน์คณะย่อยของตนไม่สนใจผลประโยชน์ส่วนรวม ดูภาย นอกจะมิใช่เพื่อส่วนตัวแต่ในทางความเป็นจริงนั้นกอปรด้วยลัทธิเอกชนที่คับแคบที่สุดมีบทบากัดกร่อนและบทบาทเอาใจออกห่างอย่างใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน.แต่ไหนแต่ไรมาความนิยมหมู่คณะย่อยนี้แพร่ หลายมากในกองทัพแดง เมื่อได้ผ่านการวิจารณ์กันมาแล้ว.บัดนี้ก็ค่อยเบาบางลง แต่เศษเดนของมันยังมีอยู่ ยังต้องพยายามขจัดมันต่อไป.
(๓) ความคิดรับจ้าง. ไม่เข้าใจว่าพรรคและกองทัพแดงล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือสำหรับปฏิบัติภาระหน้าที่ปฏิวัติและตัวเองก็เป็นสมาชิกในนั้นคนหนึ่ง.ไม่เข้าใจว่าตนเองก็เป็นผู้กระทำการปฏิวัติคนหนึ่งคิดว่าตนรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเป็นส่วนตัวเท่านั้น มิใช่รับผิดชอบต่อการปฏิวัติ.ความคิดรับ จ้างปฏิวัติอันเป็นโทษนี้ก็เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของลัทธิเอกชน. ความคิดรับจ้างปฏิวัตินี้เป็นเหตุให้ผู้เอาการเอางานที่เพียรพยายามทำงานอย่างปราศจากเงื่อนไขนั้นมีจำนวนไม่มากนัก.   ถ้าไม่ขจัดความคิดรับจ้างนี้ให้หมดไป ผู้เอาการเอางานก็ไม่อาจจะเพิ่มขึ้นได้ และภาระหนักของการปฏิวัติจะตกอยู่บนบ่าของคนส่วนน้อยตลอดไป    ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่การต่อสู้อย่างยิ่ง.
(๔) ลัทธิเสพสุข. ในกองทัพแดง ก็มีคนไม่น้อยที่มีลัทธิเอกชนมี่แสดงออกในทางเสพสุข. พวกเขาหวังแต่จะให้กองทัพแดงยกเข้าไปในเมืองใหญ่ ๆ. การที่เขาต้องการจะไปเมืองใหญ่ ๆ นั้น มิใช่เพื่อไปทำงาน แต่เพื่อจะไปหาความสำราญ. สิ่งที่พวกเขาไม่ชอบที่สุดก็คือทำงานในเขตแดงซึ่งชีวิตความเป็นอยู่ลำบากยากแค้น.
(๕) ความท้อแท้เฉื่อยงาน. มีอะไรไม่ถูกใจเข้าหน่อยก็เกิดความท้อแท้และไม่ทำงาน.มูลเหตุที่สำคัญคือขาดการให้การศึกษาแต่บางครั้งก็เนื่องมาจากฝ่ายนำจัดการเรื่องต่าง ๆ, มอบหมายการงาน หรือใช้วินัยไม่เหมาะสม.
(๖) ความคิดที่อยากจะปลีกตัวจากกองทัพ.ผู้ที่ทำงานในกองทัพแดงขอย้ายจากกองทัพไปทำ งานในท้องถิ่นนั้นมีมากขึ้นทุกวัน. มูลเหตุไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลเสียทั้งหมด, หากยังอยู่ที่:๑. ชีวิตทางวัตถุในกองทัพแดงฝืดเคืองมาก,   ๒. ต่อสู้มาเป็นเวลานานแล้วรู้สึกอิดโรย;  ๓. ฝ่ายนำจัดการเรื่องต่าง ๆ มอบหมายการงาน หรือใช้วินัยไม่เหมาะสม เป็นต้น.
วิธีแก้:  ที่สำคัญคือเสริมการให้การศึกษาให้มาก แก้ลัทธิเอกชนจากทางความคิด. อนึ่ง การจัดการเรื่องต่าง ๆ มอบหมายการงาน หรือใช้วินัยก็ต้องทำให้เหมาะสม. ทั้งยังต้องหาทางปรับปรุงชีวิตทางวัตถุในกองทัพแดงให้ดีขึ้น ใช้โอกาสทุกเมื่อเท่าที่จะหาได้ทำการพักผ่อนและจัดขบวนใหม่ เพื่อปรับ ปรุงเงื่อนไขทางวัตถุให้ดีขึ้น.     บ่อเกิดทางสังคมของลัทธิเอกชนคือการสะท้อนเข้ามาในพรรคของความคิดชนชั้นนายทุนน้อยและชนชั้นนายทุน เวลาให้การศึกษาต้องอธิบายข้อนี้ด้วย.
เกี่ยวกับความคิดเสือจร
เนื่องจากในกองทัพแดงมีพวกที่มาจากคนจรจัดอยู่เป็นจำนวนมาก และเนื่องจากทั่วประเทศ    โดย เฉพาะอย่างยิ่งตามมณฑลต่าง ๆ ทางภาคใต้มีมวลชนคนจรจัดอันไพศาลอยู่, ดังนั้น จึงได้เกิดความ คิดทางการเมืองที่เป็นลัทธิเสือจรขึ้นในกองทัพแดง. ความคิดชนิดนี้แสดงออกดังนี้:(๑) ไม่อยากทำ งานที่ยากลำบากในการสร้างฐานที่มั่น   ก่อตั้งอำนาจรัฐของมวลประชาชนและอาศัยสิ่งนี้ไปขยายผลสะเทือนทางการเมือง, คิดแค่จะใช้วิธีการจรยุทธ์เคลื่อนที่ไปขยายผลสะเทือนทางการเมือง. (๒) ในการขยายกองทัพแดง  ไม่ดำเนินแนวทางที่เริ่มต้นจากการขยายกองรักษาการณ์แดงท้องถิ่น กองทัพแดงท้องถิ่นไปสู่การขยายเป็นกำลังหลัก แต่ดำเนินแนวทาง “รับสมัครไพร่แลซื้อม้า”“เกลี้ยกล่อมให้สวามิภักดิ์แลรับพวกกบฏ”.2  (๓) ไม่มีความอดทนที่จะต่อสู้อย่างยากลำบากร่วมกับมวลชน หวังแต่จะเข้าเมืองใหญ่ ๆ ไปกินไปดื่มให้อิ่มหนำสำราญ. การแสดงออกของความคิดเสือจรทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่กีดขวางมิให้กองทัพแดงปฏิบัติภาระหน้าที่อันถูกต้อง  ด้วยเหตุนี้ การขจัดความคิดเสือจรให้หมดสิ้นไปนั้น ก็เป็นจุดหมายสำคัญอย่างหนึ่งในการต่อสู้ทางความคิดภายในองค์การจัดตั้งของพรรคในกองทัพแดงโดยแท้. ควรต้องเข้าใจไว้ว่า ลัทธิเสือจรแบบหวงเฉาหลีฉวงในประวัติศาสตร์นั้น เป็นเรื่องที่สภาพแวดล้อมในทุกวันนี้ไม่อำนวยให้เป็นไปได้อีกแล้ว.
วิธีแก้:
(๑) เร่งให้การศึกษา วิจารณ์ความคิดที่ไม่ถูกต้อง ขจัดลัทธิเสือจรให้หมดสิ้น.
(๒) เร่งให้การศึกษา ในทางคัดค้านจิตสำนึกนักเลงอันธพาลแก่ขบวนพื้นฐานของกองทัพแดงในปัจจุบันและทหารเชลยที่มาใหม่.
(๓) พยายามดึงผู้เอาการเอางานในหมู่กรรมกรชาวนาที่มีความจัดเจนในการต่อสู้มาเข้าร่วมกองทัพแดง เพื่อเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของกองทัพแดง.
(๔) สร้างกองทหารหน่วยใหม่ของกองทัพแดงขึ้นจากมวลชนกรรมกรชาวนาที่ต่อสู้.

เกี่ยวกับเศษเดนลัทธิสุ่มเสี่ยง
ภายในองค์การจัดตั้งของพรรคในกองทัพแดงได้ดำเนินการต่อสู้กับลัทธิสุ่มเสี่ยงมาแล้ว แต่ยังทำไม่เต็มที่. ด้วยเหตุนี้,    ในกองทัพแดงจึงยังมีเศษเดนลัทธิสุ่มเสี่ยงตกค้างอยู่โดยแสดงออกดังนี้:(๑) ดำเนินการอย่างหลับหูหลับตาโดยคำนึงถึงเงื่อนไขทางอัตวิสัยและภววิสัย. (๒) ดำเนินนโยบายในเมืองไม่เต็มที่และไม่เด็ดเดี่ยว. (๓) วินัยทหารหละหลวม โดนเฉพาะอย่างยิ่งในยามรบแพ้. (๔) กองทหารบางหน่วยมีพฤติการณ์เผาบ้าน.(๕) ระบอบยิงเป้าทหารหนีทัพและระบอบลงทัณฑ์ก็มีลักษณะลัทธิสุ่มเสี่ยงเหมือนกัน. บ่อเกิดทางสังคมของลัทธิสุ่มเสี่ยงก็คือ การประมวลของความคิดชนชั้นกรรมาชีพจรจัดกับความคิดนายทุนน้อย.
วิธีแก้:
(๑) ขจัดลัทธิสุ่มเสี่ยงให้หมดสิ้นโดยทางความคิด.
(๒) แก้พฤติการณ์สุ่มเสี่ยงโดยทางระเบียบข้อบังคับและทางนโยบาย.
หมายเหตุ
๑.   ในช่วงเวลาสั้น ๆ ภายหลังที่การปฏิวัติปี ๑๙๒๗ พ่ายแพ้ไปแล้ว ได้เกิดความโน้มเอียงลัทธิสุ่มเสี่ยงเอียง “ซ้าย” ชนิดหนึ่งขึ้นภายในพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเห็นว่าลักษณะการปฏิวัติของจีนเป็นอย่างที่เรียกกันว่า “การปฏิวัติอย่างไม่ขาดสาย” สถานการณ์การปฏิวัติของจีนก็เป็นอย่างที่เรียกกันว่า “ขึ้นสู่กระแสสูงอย่างไม่ขาดระยะ”ดังนั้นจึงไม่ยอมจัดการถอยอย่างมีระเบียบ แต่ใช้วิธีการลัทธิคำสั่งอันเป็นวิธีการที่ผิด โดยมุ่งหมายจะอาศัยสมาชิกพรรคและมวลชนจำนวนน้อยไปจัดตั้งการลุกขึ้นสู้ของท้องถิ่นในหลาย ๆ แห่ง ซึ่งไม่หวังจะได้รับชัยชนะเลยในทั่วประเทศ.พฤติการณ์ลัทธิสุ่มเสี่ยงนี้เคยแพร่หลายในปลายปี ๑๙๒๗ ครั้นถึงต้นปี ๑๙๒๘ ก็ค่อย ๆ สิ้นสุดลง. แต่สมาชิกพรรคบางคนยังมีอารมณ์ความรู้สึกนี้เหลืออยู่.ลัทธิสุ่มเสี่ยงคือลัทธิเสี่ยงภัยนั่นเอง.
๒.   หวงเฉาเป็นหัวหน้าขบวนการลุกขึ้นสู้ของชาวนาในปลายสมัยราชวงศ์ถัง เป็นชาวอำเภอยวนจีจังหวัดเฉาโจว (คืออำเภอเหอเจ๋อ มณฑลซานตงในปัจจุบัน ผู้แปล) เมื่อปี ๘๗๕ หวงเฉาได้รวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าสนับสนุนการลุกขึ้นสู้ที่นำโดยหวางเซียนจือ. เมื่อหวางเซียนจือถูกฆ่าตาย, หวงเฉาก็รวบรวมรี้พลของหวางเซียนจือที่เหลืออยู่ ตั้งตัวเป็น “ขุนพลทะลวงฟ้า”. ขบวนลกขึ้นสู้ของหวงเฉานั้น ได้เคยออกไปทำสงครามเคลื่อนที่นอกเขตซานตง ๒ ครั้ง. ครั้งแรกจากซานตงไปเหอหนานแล้ววกเข้าอันฮุ่ยและหูเป่ย จากหูเป่ยกลับไปซานตงอีก. ครั้งที่ ๒ จากซานตงไปเหอหนานอีก แล้ววกไปกัง ไส (เจียงซี) ผ่านภาคตะวันออกจิเกี่ยงลงไปถึงฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง แล้วย้อนไปกวางสีผ่านหูหนานไปยังหูเป่ยจากหูเป่ยรุกไปทางตะวันออกเข้าอันฮุยและจิเกี่ยง    แล้วจึงข้ามแม่น้ำหวายเหอเข้าเหอหนาน ได้เมืองลกเอี้ยง ตีด่านถุงกวานแตกยึดเมืองฉางอานไว้ได้.     
      เมื่อหวงเฉาเข้าครองฉางอานได้แล้วก็สถาปนาอาณาจักรฉีขึ้นตั้งตัวเป็นจักรพรรดิ.  ต่อมาเนื่องจากแตกแยกกันขึ้นภายใน (ขุนพลชื่อจูเวินได้สวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ถัง)   ประกอบกับถูกกำลังของหลี่เต่อ ย่งหัวหน้าเผ่าซาถอโจมตีหวงเฉาจึงเสียเมืองฉางอาน แล้วถอยเข้าเหอหนานอีก จากเหอหนานกลับ    ไปซานตง, ในที่สุดก็ประสบความพ่ายแพ้และฆ่าตัวตาย. สงครามหวงเฉาได้ดำเนินติดต่อกันถึง ๑๐ ปี เป็นสงครามชาวนาที่ลือชื่อครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน. ตำราประวัติศาสตร์ของชนชั้นปกครองสมัยเก่ากล่าวว่า เวลานั้น “ราษฎรผู้เดือดร้อนด้วยถูกรีดส่วยอากรอย่างหนักต่างพากันสมัครเข้าเป็นพรรคพวก” แต่หวงเฉาได้แต่ทำสงครามเร่ร่อนอย่างง่าย ๆ ไม่เคยได้สร้างฐานที่มั่นที่ค่อนข้างมั่นคงขึ้น ดังนั้นจึงเรียกกันว่า “เสือจร”.
๓.   หลี่ฉ่วง คือ หลี่จื้อเฉิง เป็นหัวหน้าขบวนลุกขึ้นสู้ของชาวนาในปลายสมัยราชวงศ์เหม็ง เป็นคนอำเภอหมี่จือมณฑลส่านซี. เมื่อปี ๑๖๒๘ ตรงกับฉุงเจิงศก ๑ ในรัชการพระเจ้าหมิงซื่อจง ชาวนาในภาคเหนือส่านซีได้ก่อกระแสลุกขึ้นสู้ขึ้น. หลี่จื้อเฉิงได้สมัครเข้าร่วมขบวนลุกขึ้นสู้ของเกาหยิงเสียง เคยบุกจากส่านซีเข้าเหอหนาน ถึงอันฮุย แล้ววกกลับไปยังส่านซีอีก. เมื่อเกาหยิงเสียงตายในปี ๑๖๓๖ หลี่จื้อเฉิงได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าฉ่วงอ๋อง. คำขวัญสำคัญของหลี่จื้อเฉิงที่ประกาศในหมู่มวลชนคือ “รับฉ่วงอ๋อง ไม่ส่งส่วย”. วินัยที่เขาใช้บังคับในกองทัพนั้นเคยมีคำขวัญว่า “ฆ่าคนหนึ่งเหมือนฆ่าพ่อกู ขืนใจหญิงหนึ่งเหมือนขืนใจแม่กู” ดังนั้นจึงมีผู้สนับสนุนหลี่จื้อเฉิงมากมาย จนกลายเป็นกระแสหลักในการลุกขึ้นสู้ของชาวนาสมัยนั้น. แต่หลีจื้อเฉิงไม่เคยสร้างฐานที่มั่นที่ค่อนข้างมั่นคงขึ้นเช่นกัน ได้แต่ร่อนเร่ไปมา.  หลังจากได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าฉ่วงอ๋องแล้ว ก็นำทัพเข้าเสฉวนแล้ววกกลับภาคใต้ส่านซี, ผ่านหูเป่ย เข้าเหอหนานอีกต่อมายึดได้เมืองเซียงหยางมณฑลหูเป่ย, แล้วผ่านเหอหนานอีกครั้ง บุกส่านซียึดซีอานได้ ในที่สุดได้ผ่านซานซี ตีเมืองปักกิ่งแตกในปี ๑๖๔๔. แต่ต่อมาไม่นานต้องพ่ายแพ้ไปเพราะถูกหวูซานกุ้ย ขุนพลเอกราชวงศ์เหม็ง กับกองทัพแมนจูซึ่งหวูซานกุ้ยสมคบชักนำมาร่วมตีกระหนาบ.

หมายเหตุผู้แปล
1.     1   ขบวน คือหน่วยชนิดหนึ่งใน ระบบการจัดตั้งของกองทัพแดง (กองทัพลู่ที่ ๘, กองทัพที่ ๔ ใหม่และกองทัพปลดแอกในเวลาต่อมา) การจัดตั้งหน่วยชนิดนี้ ยืดหยุ่นกว่าของกองทัพประจำการมาก. การจัดขบวนนี้แตกต่างกันไปตามกาลสมัยการปฏิวัติและตามสถานที่ที่แตกต่างกัน. พอจะเทียบคร่าว ๆ ได้เท่ากับกรมหนึ่ง กองพลหนึ่ง หรือกองทัพหนึ่งของกองทัพประจำการ. ในที่นี้ ขบวน ๆ หนึ่งของกองทัพที่ ๔ แห่งกองทัพแดงจะเทียบได้กับกรมทหารราบกรมหนึ่ง
2.      2  คำพังเพยนี้ เดิมหมายถึง วิธีการที่พวกลุกขึ้นสู้บางกลุ่มในประวัติศาสตร์จีนใช้สำหรับขยายกองกำลังของตน. วิธีการนี้มักสนใจแต่ ปริมาณ มองข้ามคุณภาพของกองทหาร รับบุคคลทุกประเภทเข้ามาในกองทัพของตนโดยไม่เลือก.