Wednesday, August 26, 2015

ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในทัศนะวิภาษวิธี


ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในทัศนะวิภาษวิธี

เราได้ศึกษาหลักการเบื้องต้นของวิภาษวิธีมาแล้ว      แต่ยังไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้พิจารณาวิเคราะห์และปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ    เพราะบางครั้งเราไม่สามารถแยกแยะปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างสมเหตุผล         หรือไม่ก็ยังมีความสับสนต่อปัญหาหรือปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนอยู่      ความรู้ความเข้าใจต่อโลกธรรมชาติอย่างเป็นวิภาษวิธีนั้น    แสดงออกด้วยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างปรากฏการณ์ต่างๆ    ดังนั้น.จึงมีความความจำเป็นที่จะศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกเพื่อยกระดับความรับรู้ทางด้านทฤษฎีของเราให้สูงขึ้น        อันจะนำไปใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อชี้นำในการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ    ดังนั้นเราจะเริ่มต้นที่ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งหรือปรากฏการณ์ต่างๆดังต่อไปนี้

1. ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล      ลกธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวเราอยู่นี้เป็นปรากฏการณ์หลาก หลายชนิดที่มีความแตกต่างกัน  ในความเป็นจริงแล้วแม้มันจะมีความแตกต่างกันแต่ก็มีความสัมพันธ์กันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม   และเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อความคิดหรือความต้องการของมนุษย์       รูปแบบของความสัมพันธ์ที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดก็คือความสัมพันธ์ของ  เหตุและผล   เพราะการหาเหตุหาผลนั้นมนุษย์ได้กระทำมาตลอดระยะประวัติศาสตร์    ด้วยเหตุนี้เองแนวคิดของมนุษย์จึงแยกออกเป็นสองทางอันเป็นรากฐานทางปรัชญาสองแขนงคือ จิตนิยม และ วัตถุนิยม ที่สืบทอดกันมาจนถึงบัดนี้

การเกิดขึ้นของเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ใดๆนั้น     จะต้องมี เหตุ เป็นตัวก่อจึงจะทำให้เกิดผลได้ ปรากฏการณ์นั้นคือผลหรือผลต่อเนื่องที่เกิดจากเหตุ      เช่นการทำรัฐประหารคือผลที่เกิดจากความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ของชนชั้นปกครอง      ความขัดแย้งทางผลประโยชน์นั่นคือตัวเหตุที่ทำให้เกิดรัฐประหาร       ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลนี้ย่อมมีเวลากำกับอยู่คือ   เหตุเป็นสิ่งที่มาก่อนแล้วผลจึงตามมา      แต่ก็ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ตามกันมาบางชนิดจะเป็นเหตุเป็นผลของความสัมพันธ์อันนี้     เช่นกลางคืนตามตามหลังกลางวันหรือกลางวันตามหลังกลางคืนไม่ใช่เพราะมันเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน         แต่เรารู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดกลางวันและกลางคืนเพราะโลกหมุนรอบแกนของตัวเอง

แต่การที่ให้จะเกิดผลได้นั้นต้องไม่มีสิ่งใดเข้ามาขัดขวางเหตุ        เช่นเมื่อเราเหนี่ยวไกปืนที่บรรจุกระสุนไว้โดยปกติแล้วกระสุนจะต้องแล่นออกไป   แต่บางทีก็ไม่ลั่น..นั่นไม่ได้หมายความว่าความ สัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลขาดตอนไป      เพียงแต่มีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกมิให้ปืนลั่นเท่านั้น   อาจเป็นเพราะสปริงของไกปืนอ่อน   หรือดินปืนชื้น  หรือกระสุนหมดสภาพเป็นต้น    เมื่อทำการสืบค้นอย่างละเอียดแล้วเราจะสามารถรู้ถึงสาเหตุที่ปืนไม่ลั่น   ทำให้ไม่เกิดปรากฏการณ์อย่างที่หวังเอาไว้ได้

การที่เหตุจะก่อผลขึ้นมานั้นก็จำเป็นต้องมีเงื่อนไขบางอย่าง      เงื่อนไขต่างๆเป็นปรากฏการณ์ที่จำเป็นสำหรับการเกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่ง      แต่เงื่อนไขเหล่านั้นไม่ทำให้เหตุเกิดขึ้นได้โดยตรง  ตัวอย่างเช่นประชาชนในประเทศหนึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม       ในสังคมที่ว่านี้มีเงื่อนไขที่ดีหลายอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลง  เช่นบ้านเมืองปกครองด้วยกลุ่มเผด็จการ      ประชาชนส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างยากจนข้นแค้นขาดแคลนวัตถุปัจจัยในการดำรงชีวิต       ถูกเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรม   มีการทุจริตในการบริหารบ้านเมืองทุกระดับ      ฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างชนชั้นมีความแตกต่างกันมาก ฯลฯ      เงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้    จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกระทำขึ้น     แต่ประชาชนผู้ถูกกดขี่กลับปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามยถากรรมโดยไม่คิดที่จะดิ้นรนต่อสู้    หากจะต่อสู้ก็เป็นไปเองตามธรรมชาติ      ไม่มีพรรคการเมืองของประชาชนที่ไว้ใจได้มาชี้นำ        ขาดการฝึกฝนบ่มเพาะโดย  เฉพาะไม่มีบทเรียน  ความจัดเจน  แนวทางทฤษฎี และจิตสำสำนึกในการเคลื่อนไหวต่อสู้ ฯลฯ    มีแต่ต้องลงมือทำอย่างจริงจังเท่านั้นจึงเป็นเหตุที่แท้จริงอันจะนำไปสู่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมได้

มีบ่อยครั้งที่เรามักจะเกิดความสับสนระหว่าง เหตุ กับ โอกาส โดยหลงเอาโอกาสไปเป็นสาเหตุโดย เฉพาะอย่างยิ่งในปรากฏการณ์ที่มีความสลับซับซ้อน        เนื่องมาจากทัศนะที่มองสรรพสิ่งอย่างผิวเผินทำให้ไม่เห็นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์        การเพิกเฉยต่อเหตุที่แท้จริงของปรากฏการณ์ไม่เพียงแต่จะทำให้เราไม่เข้าใจปรากฏการณ์ได้อย่างมีจิตสำนึกเท่านั้น     ยังเกิดความโน้มเอียงไปสู่ความคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อีกด้วย         ส่วนโอกาสนั้นไม่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ใดๆขึ้นมาได้หากเป็นแรงกระตุ้นให้เหตุที่แท้จริงทำงาน    

ตัวอย่างเช่นสหรัฐฯทิ้งระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่น        ในความเป็นจริงญี่ปุ่นจะต้องยอมแพ้อย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่งเนื่องมาจากถูกสหรัฐฯปิดล้อมทางทะเลอย่างหนัก      การทิ้งระเบิดปรมาณูจึงเป็นโอกาสในการช่วงชิงอิทธิพลเหนือญี่ปุ่นแข่งกับรัสเซีย(ที่กำลังรุกมาทางตะวันออก)    ไม่ใช่เพราะว่าเพื่อต้องการรักษาชีวิตของทหารอเมริกันและญี่ปุ่นที่จะต้องสูญเสียไปหากต้องยกพลบุกขึ้นเกาะญี่ปุ่นเพื่อเผด็จศึกอย่างที่กล่าวอ้างและเชื่อกันมา   และเป็นการเตือน(ขู่)รัสเซียไม่ให้ขยายอิทธิพลมาทางตะวันออกไกลเพื่อแข่งกับตนนั่นเอง(ตอนนั้นรัสเซียยังไม่มีระเบิดปรมาณู)        ดังนั้นการเข้าใจที่ถูก ต้องด้วยการแยกสาระสำคัญออกจากสาระที่ไม่สำคัญนั้น   จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการวิเคราะห์สรรพสิ่ง

Thursday, August 20, 2015

วิวัฒนาการ กับ การพัฒนาการ

ว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ กับ การพัฒนาการ

มีผู้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการวิวัฒนาการและการพัฒนาการว่า   มันเป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นคนละเรื่อง      หากไม่ใช่เรื่องเดียวกันมันมีความแตกต่างกันอย่างไร?  เรื่องนี้เกิดเป็นประเด็นขึ้นมาก็เนื่องมาจากมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในหมู่ผู้ที่กำลังสนใจศึกษาปัญหาสังคม    โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของการเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง     ซึ่งทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ถือว่ามันสืบเนื่องมาจากการเกิดของระบอบกรรมสิทธิ์ขึ้นในสังคม       จนกลายไปเป็นความขัดแย้งกันทางชนชั้น       ส่วนหนึ่งเชื่อว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเป็นการพัฒนาการทางการผลิตของสังคมมนุษย์     แต่อีกฝ่ายหนึ่งโต้แย้งว่ามันเป็นเพราะวิวัฒนาการของสังคมมากกว่า    เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับความรับรู้และการตีความในทางทฤษฎีที่ใช้โต้แย้งกับลัทธิมาร์กซ        

เริ่มต้นจาก  เอดูอาด แบร์นชไตน์ (Eduard Bernstein) นักสังคมประชาธิปไตยเยอรมัน     ได้ปฏิเสธ ”วิภาษวิธี” ของมาร์กซ     โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความขัดแย้งของสรรพสิ่งซึ่งเป็นหลักการใหญ่ของทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษ       เขาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นไม่   ได้เกิดจากความขัดแย้งทางชนชั้น  หากแต่เกิดจากการวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ภายใต้หลักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ค้นพบโดย  ชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charls  Darwin)    และยังได้คัดค้านหลักการต่างๆของลัทธิมาร์กซในแทบทุกบริบทเลยทีเดียว จนได้ชื่อว่าเป็นนักลัทธิแก้(Revisionist)คนแรกของโลก

ในความเข้าใจโดยทั่วไป       วิวัฒนาการ....คือกระบวนการที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายพยายามดิ้นรนปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของตนให้เข้ากับโลกธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา    โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างรุนแรงเช่นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิศาสตร์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นความแห้งแล้ง  ความหนาวเย็น   รวมไปถึงภัยธรรมชาติอื่นๆเช่นน้ำท่วม  แผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ เป็นสาเหตุให้บรรยากาศของโลกที่อยู่อาศัยเกิดเปลี่ยนแปลง          สิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่นี้ได้  ต้องล้มตายไป จนกระทั่งบางชนิดถึงกับสูญพันธ์   แม้แต่มนุษย์เองก็ได้ตกอยู่ในกระบวนการนี้มาอย่างยาวนานเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล      และได้ต่อสู้ดิ้นรนกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จนสามารถมีชีวิตรอดและดำรงเผ่าพันธุ์มาได้จนถึงปัจจุบันนี้     

ถ้ากล่าวในแง่ชีววิทยาแล้ว    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่มีพลังสมองเหนือล้ำกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง      สามารถเรียนรู้และเข้าใจปรากฎการณ์ธรรมชาติไม่เพียงเพื่อความอยู่รอดตามกฎแห่งการวิวัฒ นาการเท่านั้น      ยังมีทักษะความสามารถในการ พัฒนาดัดแปลง ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์แก่ตนอีกด้วย      หากจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆเช่นสัตว์ต่างๆที่เคยท่องเที่ยวหาอาหารเป็นฝูงๆเช่น เดียวกันมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์      เมื่อการเวลาผ่านพ้นไปมนุษย์สามารถสร้างที่อยู่อาศัย  มีการผลิต  มีการสร้างกฎเกณฑ์ทางสังคม  กระทั่งสร้างสังคมขนาดใหญ่ขึ้น  มีการประดิษฐ์สื่อ  ตัวอักษรที่ใช้ในการสื่อสารกัน   มีการผลิตงานทางทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม ฯลฯ  ซึ่งการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ไม่ใช่เป็นไปตามกฎแห่งการวิวัฒนาการอย่างแน่นอน      ไม่เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายที่ยังมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรในอดีตอันยาวนานก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น  หากจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างก็เป็นเพียงรูปร่าง  อวัยวะ เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น    ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านชีววิทยา   

แต่ปัญหาสำคัญก็คือ..ได้เกิดมีข้อสงสัยขึ้นว่าในกระบวนการทางสังคมเช่น      การกดคนลงเป็นทาส  การกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นนั้น    มันเป็นไปตามทฤษฎีวิวัฒนาการหรือไม่     จึงมีคำถามกลับไปว่า...กระบวนการทางสังคมที่กล่าวมานี้เป็นไปเพื่อเพราะเพื่อความอยู่รอดหรือไม่?   มนุษย์สามารถยังชีพอยู่ได้ด้วยการผลิต   จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปกดขี่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อให้มีชีวิตรอด   ทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งเป็นทฤษฎีทางชีววิทยาจึงไม่อาจนำมาตอบคำถามทางสังคมได้      มีแต่ต้องอาศัย ทฤษฎีทางสังคม  เท่านั้นจึงจะสามารถตอบคำถามเหล่านี้

ทฤษฎีลัทธิมาร์กซซึ่งถือได้ว่าเป็น ทฤษฎีทางสังคม จึงมีความสามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้โดย     ชี้ให้เห็นว่า...การขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์นั้นมันเกิดขึ้นเมื่อสังคมมนุษย์พัฒนามาจนเกิดระบบกรรมสิทธิ์ขึ้น   ทำให้ชนชั้นหนึ่งมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับอีกชนชั้นหนึ่ง      พูดง่ายๆก็คือเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นที่”กดขี่” กับ ชนชั้นที่”ถูกกดขี่”นั่นเอง     ไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์     ไม่ใช่เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดตามทฤษฎีวิวัฒนาการแต่อย่างใด      และการที่ชนชั้นนายทุนสามารถขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากการใช้แรงงานของกรรมกรได้นั้น      ไม่ใช่เพราะว่านายทุนมีความเหนือกว่าทางสรีระ(แข็งแรงกว่า ตัวโตกว่า)      หากแต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตต่างหาก    ไม่ใช่เกิดขึ้นจากกฎของการวิวัฒนาการแต่อย่างใดหากแต่เกิดจากความขัดแย้งในการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรมที่ได้สะสมและพัฒนามาเป็นเวลาเนิ่นนาน

เราได้เรียนรู้ถึงหลักการข้อหนึ่งของวิภาษวิธีมาแล้วว่า “สรรพสิ่งพัฒนาไปเพราะความขัดแย้ง” และ “การพัฒนาก็คือปรากฏการณ์ของสรรพสิ่งที่เกิดจากความขัดแย้ง” (เรื่องความขัดแย้งนี้ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องวัตถุนิยมวิภาษในหัวเรื่องเสริมทฤษฎี)       ความขัดแย้งจะดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่งตั้งแต่เล็กที่สุดไปจนถึงในระดับจักรวาลและพัฒนาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด    ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินใช้ไม่ได้หรือไม่ถูกต้อง      ทฤษฎีวิวัฒนาการได้รับการยอมรับว่าถูกต้องและมีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน      อีกทั้งได้สร้างคุณูปการให้แก่ความรับรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมนุษยชาติอย่างมากมายและถือได้ว่าเป็นทฤษฎีใหญ่ (Grand Theory) เลยทีเดียว      จะผิดก็อยู่ที่ฝ่ายต่อต้านลัทธิมาร์กซ......ได้ฉวยโอกาสนำทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องปัญหาการกดขี่ขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์นั้นว่ามันเป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้     ซึ่งเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับทฤษฎีเสียมากกว่า    แทนที่จะนำไปอธิบายทางด้านชีววิทยาซึ่งน่าจะถูกต้องกว่า