ว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ
กับ การพัฒนาการ
มีผู้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการวิวัฒนาการและการพัฒนาการว่า มันเป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นคนละเรื่อง หากไม่ใช่เรื่องเดียวกันมันมีความแตกต่างกันอย่างไร?
เรื่องนี้เกิดเป็นประเด็นขึ้นมาก็เนื่องมาจากมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในหมู่ผู้ที่กำลังสนใจศึกษาปัญหาสังคม โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของการเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ถือว่ามันสืบเนื่องมาจากการเกิดของระบอบกรรมสิทธิ์ขึ้นในสังคม
จนกลายไปเป็นความขัดแย้งกันทางชนชั้น ส่วนหนึ่งเชื่อว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเป็นการพัฒนาการทางการผลิตของสังคมมนุษย์ แต่อีกฝ่ายหนึ่งโต้แย้งว่ามันเป็นเพราะวิวัฒนาการของสังคมมากกว่า เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับความรับรู้และการตีความในทางทฤษฎีที่ใช้โต้แย้งกับลัทธิมาร์กซ
เริ่มต้นจาก เอดูอาด แบร์นชไตน์ (Eduard
Bernstein) นักสังคมประชาธิปไตยเยอรมัน ได้ปฏิเสธ
”วิภาษวิธี” ของมาร์กซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความขัดแย้งของสรรพสิ่งซึ่งเป็นหลักการใหญ่ของทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษ
เขาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นไม่ ได้เกิดจากความขัดแย้งทางชนชั้น
หากแต่เกิดจากการวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ภายใต้หลักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ค้นพบโดย ชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charls Darwin) และยังได้คัดค้านหลักการต่างๆของลัทธิมาร์กซในแทบทุกบริบทเลยทีเดียว
จนได้ชื่อว่าเป็นนักลัทธิแก้(Revisionist)คนแรกของโลก
ในความเข้าใจโดยทั่วไป วิวัฒนาการ....คือกระบวนการที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายพยายามดิ้นรนปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของตนให้เข้ากับโลกธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างรุนแรงเช่นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิศาสตร์ของโลก
ไม่ว่าจะเป็นความแห้งแล้ง ความหนาวเย็น รวมไปถึงภัยธรรมชาติอื่นๆเช่นน้ำท่วม แผ่นดินไหว
ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ เป็นสาเหตุให้บรรยากาศของโลกที่อยู่อาศัยเกิดเปลี่ยนแปลง
สิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่นี้ได้ ต้องล้มตายไป จนกระทั่งบางชนิดถึงกับสูญพันธ์ แม้แต่มนุษย์เองก็ได้ตกอยู่ในกระบวนการนี้มาอย่างยาวนานเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และได้ต่อสู้ดิ้นรนกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จนสามารถมีชีวิตรอดและดำรงเผ่าพันธุ์มาได้จนถึงปัจจุบันนี้
ถ้ากล่าวในแง่ชีววิทยาแล้ว
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่มีพลังสมองเหนือล้ำกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง สามารถเรียนรู้และเข้าใจปรากฎการณ์ธรรมชาติไม่เพียงเพื่อความอยู่รอดตามกฎแห่งการวิวัฒ
นาการเท่านั้น ยังมีทักษะความสามารถในการ
พัฒนาดัดแปลง ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์แก่ตนอีกด้วย หากจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆเช่นสัตว์ต่างๆที่เคยท่องเที่ยวหาอาหารเป็นฝูงๆเช่น
เดียวกันมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เมื่อการเวลาผ่านพ้นไปมนุษย์สามารถสร้างที่อยู่อาศัย มีการผลิต
มีการสร้างกฎเกณฑ์ทางสังคม
กระทั่งสร้างสังคมขนาดใหญ่ขึ้น
มีการประดิษฐ์สื่อ ตัวอักษรที่ใช้ในการสื่อสารกัน มีการผลิตงานทางทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม
ฯลฯ ซึ่งการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ไม่ใช่เป็นไปตามกฎแห่งการวิวัฒนาการอย่างแน่นอน
ไม่เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายที่ยังมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรในอดีตอันยาวนานก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น หากจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างก็เป็นเพียงรูปร่าง อวัยวะ เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านชีววิทยา
แต่ปัญหาสำคัญก็คือ..ได้เกิดมีข้อสงสัยขึ้นว่าในกระบวนการทางสังคมเช่น การกดคนลงเป็นทาส การกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นนั้น มันเป็นไปตามทฤษฎีวิวัฒนาการหรือไม่ จึงมีคำถามกลับไปว่า...กระบวนการทางสังคมที่กล่าวมานี้เป็นไปเพื่อเพราะเพื่อความอยู่รอดหรือไม่? มนุษย์สามารถยังชีพอยู่ได้ด้วยการผลิต จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปกดขี่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อให้มีชีวิตรอด ทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งเป็นทฤษฎีทางชีววิทยาจึงไม่อาจนำมาตอบคำถามทางสังคมได้
มีแต่ต้องอาศัย ทฤษฎีทางสังคม เท่านั้นจึงจะสามารถตอบคำถามเหล่านี้
ทฤษฎีลัทธิมาร์กซซึ่งถือได้ว่าเป็น
ทฤษฎีทางสังคม จึงมีความสามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้โดย ชี้ให้เห็นว่า...การขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์นั้นมันเกิดขึ้นเมื่อสังคมมนุษย์พัฒนามาจนเกิดระบบกรรมสิทธิ์ขึ้น ทำให้ชนชั้นหนึ่งมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับอีกชนชั้นหนึ่ง พูดง่ายๆก็คือเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นที่”กดขี่”
กับ ชนชั้นที่”ถูกกดขี่”นั่นเอง
ไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์
ไม่ใช่เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดตามทฤษฎีวิวัฒนาการแต่อย่างใด และการที่ชนชั้นนายทุนสามารถขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากการใช้แรงงานของกรรมกรได้นั้น ไม่ใช่เพราะว่านายทุนมีความเหนือกว่าทางสรีระ(แข็งแรงกว่า
ตัวโตกว่า) หากแต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตต่างหาก ไม่ใช่เกิดขึ้นจากกฎของการวิวัฒนาการแต่อย่างใดหากแต่เกิดจากความขัดแย้งในการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรมที่ได้สะสมและพัฒนามาเป็นเวลาเนิ่นนาน
เราได้เรียนรู้ถึงหลักการข้อหนึ่งของวิภาษวิธีมาแล้วว่า
“สรรพสิ่งพัฒนาไปเพราะความขัดแย้ง” และ “การพัฒนาก็คือปรากฏการณ์ของสรรพสิ่งที่เกิดจากความขัดแย้ง”
(เรื่องความขัดแย้งนี้ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องวัตถุนิยมวิภาษในหัวเรื่องเสริมทฤษฎี) ความขัดแย้งจะดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่งตั้งแต่เล็กที่สุดไปจนถึงในระดับจักรวาลและพัฒนาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินใช้ไม่ได้หรือไม่ถูกต้อง ทฤษฎีวิวัฒนาการได้รับการยอมรับว่าถูกต้องและมีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน อีกทั้งได้สร้างคุณูปการให้แก่ความรับรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมนุษยชาติอย่างมากมายและถือได้ว่าเป็นทฤษฎีใหญ่
(Grand
Theory) เลยทีเดียว จะผิดก็อยู่ที่ฝ่ายต่อต้านลัทธิมาร์กซ......ได้ฉวยโอกาสนำทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องปัญหาการกดขี่ขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์นั้นว่ามันเป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ ซึ่งเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับทฤษฎีเสียมากกว่า
แทนที่จะนำไปอธิบายทางด้านชีววิทยาซึ่งน่าจะถูกต้องกว่า
No comments:
Post a Comment