Thursday, August 20, 2015

วิวัฒนาการ กับ การพัฒนาการ

ว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ กับ การพัฒนาการ

มีผู้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการวิวัฒนาการและการพัฒนาการว่า   มันเป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นคนละเรื่อง      หากไม่ใช่เรื่องเดียวกันมันมีความแตกต่างกันอย่างไร?  เรื่องนี้เกิดเป็นประเด็นขึ้นมาก็เนื่องมาจากมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในหมู่ผู้ที่กำลังสนใจศึกษาปัญหาสังคม    โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของการเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง     ซึ่งทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ถือว่ามันสืบเนื่องมาจากการเกิดของระบอบกรรมสิทธิ์ขึ้นในสังคม       จนกลายไปเป็นความขัดแย้งกันทางชนชั้น       ส่วนหนึ่งเชื่อว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเป็นการพัฒนาการทางการผลิตของสังคมมนุษย์     แต่อีกฝ่ายหนึ่งโต้แย้งว่ามันเป็นเพราะวิวัฒนาการของสังคมมากกว่า    เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับความรับรู้และการตีความในทางทฤษฎีที่ใช้โต้แย้งกับลัทธิมาร์กซ        

เริ่มต้นจาก  เอดูอาด แบร์นชไตน์ (Eduard Bernstein) นักสังคมประชาธิปไตยเยอรมัน     ได้ปฏิเสธ ”วิภาษวิธี” ของมาร์กซ     โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความขัดแย้งของสรรพสิ่งซึ่งเป็นหลักการใหญ่ของทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษ       เขาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นไม่   ได้เกิดจากความขัดแย้งทางชนชั้น  หากแต่เกิดจากการวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ภายใต้หลักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ค้นพบโดย  ชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charls  Darwin)    และยังได้คัดค้านหลักการต่างๆของลัทธิมาร์กซในแทบทุกบริบทเลยทีเดียว จนได้ชื่อว่าเป็นนักลัทธิแก้(Revisionist)คนแรกของโลก

ในความเข้าใจโดยทั่วไป       วิวัฒนาการ....คือกระบวนการที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายพยายามดิ้นรนปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของตนให้เข้ากับโลกธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา    โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างรุนแรงเช่นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิศาสตร์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นความแห้งแล้ง  ความหนาวเย็น   รวมไปถึงภัยธรรมชาติอื่นๆเช่นน้ำท่วม  แผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ เป็นสาเหตุให้บรรยากาศของโลกที่อยู่อาศัยเกิดเปลี่ยนแปลง          สิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่นี้ได้  ต้องล้มตายไป จนกระทั่งบางชนิดถึงกับสูญพันธ์   แม้แต่มนุษย์เองก็ได้ตกอยู่ในกระบวนการนี้มาอย่างยาวนานเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล      และได้ต่อสู้ดิ้นรนกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จนสามารถมีชีวิตรอดและดำรงเผ่าพันธุ์มาได้จนถึงปัจจุบันนี้     

ถ้ากล่าวในแง่ชีววิทยาแล้ว    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่มีพลังสมองเหนือล้ำกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง      สามารถเรียนรู้และเข้าใจปรากฎการณ์ธรรมชาติไม่เพียงเพื่อความอยู่รอดตามกฎแห่งการวิวัฒ นาการเท่านั้น      ยังมีทักษะความสามารถในการ พัฒนาดัดแปลง ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์แก่ตนอีกด้วย      หากจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆเช่นสัตว์ต่างๆที่เคยท่องเที่ยวหาอาหารเป็นฝูงๆเช่น เดียวกันมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์      เมื่อการเวลาผ่านพ้นไปมนุษย์สามารถสร้างที่อยู่อาศัย  มีการผลิต  มีการสร้างกฎเกณฑ์ทางสังคม  กระทั่งสร้างสังคมขนาดใหญ่ขึ้น  มีการประดิษฐ์สื่อ  ตัวอักษรที่ใช้ในการสื่อสารกัน   มีการผลิตงานทางทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม ฯลฯ  ซึ่งการพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ไม่ใช่เป็นไปตามกฎแห่งการวิวัฒนาการอย่างแน่นอน      ไม่เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายที่ยังมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรในอดีตอันยาวนานก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น  หากจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างก็เป็นเพียงรูปร่าง  อวัยวะ เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น    ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านชีววิทยา   

แต่ปัญหาสำคัญก็คือ..ได้เกิดมีข้อสงสัยขึ้นว่าในกระบวนการทางสังคมเช่น      การกดคนลงเป็นทาส  การกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นนั้น    มันเป็นไปตามทฤษฎีวิวัฒนาการหรือไม่     จึงมีคำถามกลับไปว่า...กระบวนการทางสังคมที่กล่าวมานี้เป็นไปเพื่อเพราะเพื่อความอยู่รอดหรือไม่?   มนุษย์สามารถยังชีพอยู่ได้ด้วยการผลิต   จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปกดขี่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อให้มีชีวิตรอด   ทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งเป็นทฤษฎีทางชีววิทยาจึงไม่อาจนำมาตอบคำถามทางสังคมได้      มีแต่ต้องอาศัย ทฤษฎีทางสังคม  เท่านั้นจึงจะสามารถตอบคำถามเหล่านี้

ทฤษฎีลัทธิมาร์กซซึ่งถือได้ว่าเป็น ทฤษฎีทางสังคม จึงมีความสามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้โดย     ชี้ให้เห็นว่า...การขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์นั้นมันเกิดขึ้นเมื่อสังคมมนุษย์พัฒนามาจนเกิดระบบกรรมสิทธิ์ขึ้น   ทำให้ชนชั้นหนึ่งมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับอีกชนชั้นหนึ่ง      พูดง่ายๆก็คือเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นที่”กดขี่” กับ ชนชั้นที่”ถูกกดขี่”นั่นเอง     ไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์     ไม่ใช่เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดตามทฤษฎีวิวัฒนาการแต่อย่างใด      และการที่ชนชั้นนายทุนสามารถขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากการใช้แรงงานของกรรมกรได้นั้น      ไม่ใช่เพราะว่านายทุนมีความเหนือกว่าทางสรีระ(แข็งแรงกว่า ตัวโตกว่า)      หากแต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตต่างหาก    ไม่ใช่เกิดขึ้นจากกฎของการวิวัฒนาการแต่อย่างใดหากแต่เกิดจากความขัดแย้งในการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรมที่ได้สะสมและพัฒนามาเป็นเวลาเนิ่นนาน

เราได้เรียนรู้ถึงหลักการข้อหนึ่งของวิภาษวิธีมาแล้วว่า “สรรพสิ่งพัฒนาไปเพราะความขัดแย้ง” และ “การพัฒนาก็คือปรากฏการณ์ของสรรพสิ่งที่เกิดจากความขัดแย้ง” (เรื่องความขัดแย้งนี้ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องวัตถุนิยมวิภาษในหัวเรื่องเสริมทฤษฎี)       ความขัดแย้งจะดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่งตั้งแต่เล็กที่สุดไปจนถึงในระดับจักรวาลและพัฒนาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด    ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินใช้ไม่ได้หรือไม่ถูกต้อง      ทฤษฎีวิวัฒนาการได้รับการยอมรับว่าถูกต้องและมีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน      อีกทั้งได้สร้างคุณูปการให้แก่ความรับรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมนุษยชาติอย่างมากมายและถือได้ว่าเป็นทฤษฎีใหญ่ (Grand Theory) เลยทีเดียว      จะผิดก็อยู่ที่ฝ่ายต่อต้านลัทธิมาร์กซ......ได้ฉวยโอกาสนำทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องปัญหาการกดขี่ขูดรีดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์นั้นว่ามันเป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้     ซึ่งเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับทฤษฎีเสียมากกว่า    แทนที่จะนำไปอธิบายทางด้านชีววิทยาซึ่งน่าจะถูกต้องกว่า


No comments:

Post a Comment