ทฤษฎีของความรับรู้
อย่างที่เราได้รู้กันแล้วว่า...
ปัญหาพื้นฐานของปรัชญาคือความสัมพันธ์ระหว่างความคิดและสรรพสิ่ง
อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างจิตสำนึก(ความตระหนักรู้)และโลกภววิสัย? ค้านท์ ได้ยืนยันว่า
มันไม่มีสะพานเชื่อมระหว่างตัวความคิดและสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยตัวมันเอง เฮเกลได้ตั้งคำถามที่ต่างออกไปกระบวนการของความคิดคือเอกภาพของภววิสัยและอัตวิสัย ความคิดไม่ได้เป็นสิ่งขวางกั้นมนุษย์ออกจากโลกภววิสัย..แต่ในด้านตรงกันข้ามมันเป็นกระบวนการที่เชื่อมต่อ(“ประนีประนอม”)ของด้านทั้งสอง
เอาเป็นว่า..จากจุดเริ่มต้นของมัน..ความเป็นจริงจะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาทันที..ความคิดของมนุษย์ไม่ได้เป็นแค่ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่
ล๊อค (John Locke) มีจินตภาพไว้..แต่กำลังทำงาน..กำ
ลังแปลงข้อมูลนี้โดยแยกมันออกเป็นส่วนๆแล้วประกอบมันกลับอย่างเดิม
มนุษย์ใช้ความคิดอย่างเป็นเหตุผลเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นจริงโดยตรง ความคิดแบบวิภาษวิธีจะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
แยกออกเป็นส่วนๆและทดสอบพิสูจน์รูปลักษณ์ที่ขัดแย้งเหล่านั้นและความโน้มเอียงที่จะนำไปสู่ความเป็นตัวตนและการเคลื่อนไหวของมัน
ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ประกอบด้วยบัญชีรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆเท่านั้น สมมุติว่าเรากล่าวถึง ”สัตว์”
ก็ไม่ใช่แค่ที่มีอยู่ในวิชาสัตวศาสตร์
นอกจากและนอกเหนือความจริง.. มันมีความจำ เป็นที่จะค้นคว้ากฏเกณฑ์และกระบวนการทางภววิสัยของมัน มีความจำเป็นที่จะต้องเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ
และอธิบายถึงการเปลี่ยนผ่านจากสภาวะหนึ่งไปสู่สภาวะอื่นด้วย ประ
วัติความเป็นมาของวิทยาศาสตร์..ก็เช่นเดียวกับปรัชญา..เป็นกระบวนการที่ยืนยันและปฏิเสธมาเป็นเวลาช้านาน เป็นกระบวนการที่ไม่จบสิ้นและมีการพัฒนา ซึ่งความคิดหนึ่งๆจะคัดค้านความคิดอื่นๆ.. และในทางกลับกัน คือการปฏิเสธกระบวนการที่ไม่มีวันจบซึ่งฝังลึกอยู่ในความรับรู้ของตนเองและจักรวาล ปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้กันเราอาจเห็นได้ในพัฒนาการทางจิตใจของทารก
เกียรติภูมิที่ยิ่งใหญ่ของเฮเกลได้แก่การแสดงให้เห็นถึงลักษณะวิภาษในพัฒนาการทางความคิดของมนุษย์..จากระยะเริ่มต้นของมันผ่านขั้นตอนไปสู่ระยะต่างๆ และสุดท้ายก็เข้าสู่ขั้นสูงสุดของเหตุผล นั่นคือกระบวนการรับรู้ ในภาษาของผู้นิยมเฮเกล มันคือกระบวนการของสรรพสิ่งที่เริ่มจากใน
“ตัวของมันเอง” และ ”เพื่อตัวมันเอง” เหมือนจะกล่าวว่า..จากสิ่งที่ยังไม่ได้พัฒนาไปสู่สิ่งที่ได้พัฒนาแล้ว ตัวอ่อนของมนุษย์นั้นมีศักยภาพ เป็นมนุษย์..แต่ไม่ใช่เป็นมนุษย์โดยตัวเองและเพื่อตัวเองโดยตระหนักถึงศักยภาพที่สูงสุดของมัน ตลอดช่วงเวลาแห่งการพัฒนาซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น จากวัยทารก..ไปสู่ วัยรุ่นและ วัยกลางคน เป็นขั้นตอนที่จำเป็นต้องพิจารณา ความคิดของเด็ก..ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่ายังไม่มีความสมบูรณ์เต็มที่ กระนั้นความคิดที่ไม่ถูกต้องที่เด็กแสดงออกมานั้นไม่ได้มีน้ำหนักเหมือนความคิดของผู้ที่มีอาวุโสกว่าซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมา ดังนั้นจึงมีความเข้าใจในความ หมายของสรรพสิ่งได้ลุ่มลึกกว่า
สำหรับเฮเกล..การพัฒนาที่แท้จริงของมนุษยชาติเป็นการแสดงออกถึงรูปแบบที่เร้นลับ..เช่นเดียวกันกับพัฒนาการของจิตวิญญาณ ในความที่เป็นนักจิตนิยม..เฮเกลไม่ได้มีแนวคิดที่จริงจังต่อพัฒนาการของสังคม...
แม้ว่าในงานเขียนที่ปราดเปรื่องของท่านจะมีวี่แววของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์อยู่บ้างก็ตาม ความคิดที่ปรากฏอยู่ในนั้นได้แสดงออกถึงความคิดที่สัมบูรณ์(หมายถึงความคิดที่สมบูรณ์แบบในตัวของมันเองโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศันสิ่งใดที่จะมาทำให้เกิดความสมบูรณ์ เช่น สิ่งที่เหนือมนุษย์ สิ่งศักดิ์สิทธ์ พระเจ้า เป็น ต้น),เป็นมโนทัศน์ที่มีความลี้ลับเพียงประการเดียวที่เราได้รับรู้,
อย่างที่เองเกลส์ได้เหน็บแนมว่า,มันไม่ได้บอกอะไรแก่เราอย่างสมบูรณ์
ในความเป็นจริง,ความคิดคือผลผลิตของสมองและระบบประสาทของมนุษย์ที่ไม่อาจแยกออกจากร่างกายได้ แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งที่บริโภค ,ในทางกลับกันก็เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับสังคมและการผลิตด้วย
ความคิดเป็นผลิตผลจากวัตถุที่เราคิด
เป็นความสัมฤทธิ์ผลอย่างสูงสุดของธรรมชาติ
วัตถุที่ไม่มีชีวิตนั้นยึดกุมศักยภาพในการแสดงออกของชีวิต
แม้แต่รูปแบบชีวิตชั้นต่ำที่สุดก็ยังมีความรู้สึก,ไวต่อสิ่งเร้า,มีศักยภาพในการแสดงออก
ในบรรดาสัตว์ชั้นสูงขึ้นไป,จะแสดงออกทางระบบประสาทและสมอง
“จิตสำนึกโดยตัวเอง” ของเฮเกล
เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นที่เป็นไปไม่ได้
โดยกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว..มนุษย์ค่อยๆมีจิตสำนึกของตนต่อโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆหรืออย่างอัตโนมัติ ยิ่งไปกว่านั้น
มนุษย์แต่ละคนจะได้มาซึ่งจิตสำนึกโดยอัตโนมัตก็โดยผ่านจากวัยเด็กไปสู่ผู้ใหญ่...ทั้งสองกรณี,กระบวนการที่เกิดขึ้น..บ่อยครั้งโดยผ่านระยะเวลาที่เจ็บปวดและยาวนาน การพัฒนาความคิดของมนุษย์นั้นจะสะท้อนอยู่ในประวัติศาสตร์ของปรัชญา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมโดยทั่วไป,มันเผยให้เห็นถึงกระบวนการของความขัดแย้ง,.ที่ขั้นตอนหนึ่งเข้าไปแทนที่ขั้น
ตอนอื่นๆ และในทางกลับกันก็ถูกแทนที่ด้วยขั้นตอนที่ใหม่กว่าอีกเช่นกัน การพัฒนาทางความคิดไม่ได้เป็นเส้นตรง หากแต่จะต้องมีสิ่งอื่นๆมายับยั้งอยู่ตลอด..มีการขัดขวาง
ชะงักงัน และแม้แต่การย้อนกลับ
ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นพื้นฐานในการตระเตรียมไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
1.ความคิดพัฒนาอย่างไร?
ความคิดของมนุษย์เริ่มแรกสุด
คือความสนใจสิ่งใกล้ตัวและเป็นช่วงระยะดั้งเดิม..เป็นความรู้สึกด้านสัม
ผัสของมนุษย์ในยุคแรกๆ
โดยผ่านความรู้สึก..เริ่มที่จะซึมซับและจดจำข้อมูลโดยตรงภายใต้เงื่อนไขของสิ่งที่แวดล้อมของตนเอง..โดยไม่มีความเข้าใจต่อธรรมชาติอย่างแท้จริง
,ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความ
สัมพันธ์ของเหตุและผลและกฎพื้นฐานของมัน
จากการสังเกตและประสบการณ์... มนุษย์ค่อยๆเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป, เช่นจำนวน จำนวนมากหรือน้อยที่มีลักษณะเป็นนามธรรม กระบวนการเหล่านี้ พร้อมไปกับการใช้แรงงานและท่องไปในโลกเป็นเวลายาวนานนับล้านปี, แม้จะมีการการดิ้นรนไขว่คว้าทั้งจากความคิดและวิทยาศาสตร์อย่างมากมายแล้ว,
ความคิดโดยปกติทั่วไปก็ยังอยู่ในระดับดั้งเดิมอยู่
เมื่อเราเริ่มพิจารณาวัตถุใดๆ, รูปแบบความคิดครั้งแรกจะไม่รวมถึงเนื้อหารูปธรรมทั้งหมดและรายละเอียดที่มีความเชื่อมต่อสัมพันธ์กันของมัน หากแต่เป็นเพียงรูปร่างทั่วไปซึ่งเป็นสภภาวะนามธรรมล้วนๆ
ดังนั้น..นักปรัชญาแถบทะเลไอโอเนียน(กรีซ)และแม้แต่พุทธศาสนาก็หยั่งรู้และเข้าใจจักรวาลโดยรวมว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างวิภาษ
แต่ความรับรู้เบื้องต้นนี้มีคำอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมที่ไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นที่จะดำเนินการต่อไปด้วยการแสดงออกถึงภาพที่ชัดเจน,
ด้วยการวิเคราะห์และกำหนดความสัมพันธ์ที่แน่นอนในเนื้อหาของมัน, จะต้องแยกแยะและวัดหรือกำหนดทั้งในด้านปริมาณด้วย ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้..ย่อมเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ นี่จึงเป็นความแตกต่างกันระหว่างความคิดที่หยาบง่าย เร่งรัด
ไม่มีการพัฒนา และไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์
รุ่งอรุณทางด้านจิตสำนึกของมนุษยชาติ
ชายและหญิงไม่ได้แยกตัวเองออกจากธรรมชาติอย่างชัด เจน
เช่นเดียวกับทารกแรกเกิดที่ยังไม่แยกตัวเองออกจากมารดา จากระยะเวลาที่ยาวนานแบบค่อยเป็นค่อยไป...มนุษย์ได้ตระหนักถึงความแตกต่างจากการเรียนรู้โลกโดยการตรวจสอบสิ่งที่ตนยังงวยงงสงสัยในเครือข่ายของปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ห้อมล้อมตนเอง เฝ้าสังเกต
เปรียบเทียบ วางหลัก การ และทำการสรุปด้วยวิธีเช่นนี้ในช่วงนับเป็นหลายพันปี การวางหลักการสำคัญล้วนถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์ซึ่งค่อยๆตกผลึกเป็นรูปแบบของความคิดที่เรามีความคุ้นเคยกับมัน,ยอมรับมัน,
โดยปกติ,ทุกๆวันความคิดจะขึ้นอยู่กับความรู้สึก ประสบการณ์
ลักษณะภายนอก และการผสมผสาน
ประสบการณ์และการคิดอย่างผิวเผินที่เรียกกันว่า ”ความรู้สึกแบบพื้นๆ”(common
sense) สิ่งเหล่านี้
เพียงพอสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวันโดยทั่วไป
แต่มันไม่เพียงพอสำหรับทำความเข้าใจในทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งในบางจุด..ใช้การไม่ได้และกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์..แม้แต่เพื่อเป้าหมายทางการปฏิบัติ มันมีความจำเป็นต้องไปให้ไกลกว่าประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการสัมผัส และเข้าใจต่อ กระบวนการทั่วไป,กฎและความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่
ซึ่งอยู่นอกเหนือจากภาพลวงตาที่ปรากฏอยู่ภาย นอก
ความคิดโดยปกติของมนุษย์มักจะเอนเอียงที่จะยึดติดกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือสิ่งที่คุ้นเคย มันง่ายกว่าที่จะยอมรับในสิ่งที่ปรากฏอยู่และคุ้นเคยมากกว่าความคิดใหม่ๆซึ่งท้าทายต่ออะไรที่คุ้นเคยและประสบอยู่เป็นกิจวัตรเช่น วิธีการที่เป็นปกติวิสัย จารีต
ประเพณีและระเบียบแบบแผนทางสังคมที่เป็นตัวแทนอำนาจในสังคม คล้ายๆกับแรงเฉื่อยในกลศาสตร์ ในเวลาปกติคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจที่จะตั้งคำถามต่อสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเรื่องของ ศีลธรรม
อุดมการณ์ และรูปแบบของมัน อคติทุกชนิด
ความคิดทางการเมือง “วิทยาศาสตร์ แบบดั้งเดิมจะถูกยอมรับโดยไม่ต้องพินิจพิเคราะห์
จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในชีวิตที่ผลักดันให้พวกเขาลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่า
มันคืออะไรกัน
สังคมและการปรองดองกันทางความคิดคือรูปแบบของการหลอกลวงตนเองที่สามัญที่สุด
ความคิดที่คุ้นเคย(ไม่ว่าผิดหรือถูก)จะถูกดึงไปสู่ความถูกต้องเนื่องจากว่าพวกเขาคุ้นเคยกับมัน ดังนั้นความรับรู้จึงเป็นเพียงสมบัติส่วนตัว ทรัพย์สินและครอบครัวของชนชั้นนายทุนจึงเป็นนิรันดร์และเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
เป็นรูปแบบชีวิตที่ฝังลึกลงไปในจิตสำนึกโดยทั่วไป,แม้ว่ามันจะมีความสัมพันธ์น้อยมากกับความเป็นจริง วิภาษวิธีจึงอยู่ตรงกันข้ามโดยตรงกับวิธีคิดที่ไม่มีความลุ่มลึกและแนวทางที่ซ้ำซากเช่นนี้ แน่นอนที่สุด..เนื่องจากมันท้าทายต่อความคิดที่คุ้นเคยเช่นนั้น..มันกระตุ้นอย่างรุนแรงและสม่ำ
เสมอต่อสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม
มันมีความเป็นไปได้แค่ไหน ในการท้าทายกฏของความเป็นเอกลักษณ์ ที่ว่า
เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า “A” เท่ากับ “A” ?
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าภาพสะท้อนของตรรกะที่เอนเอียงไปสู่แบบอย่างเป็นที่นิยมกัน.ว่าทุกๆอย่างเป็นอย่างที่มันเป็นและไม่ใช่อย่างอื่น
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงกันข้ามกับวิภาษวิธีที่เริ่มต้นจากมุมมองที่ตรงกันข้ามที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง,ด้วยการก้าวเข้ามาแล้วก็จากไป
นักคิดแบบประสบการณ์นิยมทั้งหลาย..ที่ยืนยันว่าสรรพสิ่งล้วน
”เป็นอย่างที่มันเป็น” จินตนาการไปเองว่าเหมาะสมและเป็นรูปธรรม... แต่ในความเป็นจริงสรรพสิ่งไม่ได้ดำรงอยู่อย่างที่มันเป็นอยู่ตลอดเวลาและมีบ่อยครั้งมันแปรเปลี่ยนไปเป็นด้านตรงกันข้าม ความรู้สึกรับรู้อย่างกระทันหันเป็นความรับรู้ขั้นต่ำสุดของความรับรู้,เหมือนความรับรู้ของทารก ความเข้าใจที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงนั้นเรียกร้องให้เราทำการแยกแยะข้อมูลต่างๆที่ได้รับจากความรู้สึกสัมผัส เพื่อให้เข้าถึงความจริงของธรรมชาติแห่งสรรพสิ่งภายใต้การพินิจพิจารณา การวิเคราะห์ที่ลึกลงไปมักจะเผยให้เห็นแนวโน้มของความขัดแย้งที่ปรากฏขึ้นอยู่เสมอซึ่งเป็นสิ่งแฝงเร้นอยู่แม้แต่ในสิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้ มีลักษณะที่ชัด เจนและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้.. ที่สุดมันจะนำไปสู่การแปรเปลี่ยนไปเป็นด้านตรงกันข้าม และแน่ นอนความขัดแย้งเหล่านี้คือต้นตอของชีวิตทั้งมวลที่เคลื่อนไหวพัฒนาโดยผ่านธรรมชาติ เพื่อความเข้าใจอย่างแท้จริง..
มีความจำเป็นที่จะต้องมองสรรพสิ่งไม่เพียงแค่อย่างที่มันเป็นเท่านั้น..หากแต่ต้องมองถึงความเป็นมาของมัน..และมองว่ามันจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไรด้วย
สำหรับเป้าประสงค์วันต่อวันนั้นตรรกะแบบแผนและ”สามัญสำนึก”ย่อมเป็นการเพียงพอ,แต่ไกลไปกว่านั้นมันมีความจำกัดที่จะประยุกต์ใช้ได้ ณ.จุดนี้วิภาษวิธีได้กลายเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างที่สุดไม่เหมือนตรรกะแบบที่ไม่เข้าใจถึงความขัดแย้ง
อีกทั้งยังพยายามจะขจัดมันออกไปอีกด้วย
วิภาษวิธีได้แสดงให้เห็นถึงตรรกะแห่งความขัดแย้งซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของธรรมชาติและความคิด(thought) โดยกระบวนการวิเคราะห์,
วิภาษวิธีแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งเหล่านี้และบอกถึงวิธีว่าจะแก้ปัญหาอย่าง ไร? อย่างไรก็ตามความขัดแย้งใหม่ๆมักจะปรากฏขึ้นเสมอ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดเกลียวของการพัฒนาที่ไม่รู้จักจบสิ้น กระบวนการเช่นนี้สามารถเห็นได้จากการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และปรัชญาที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง และนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญมันได้สะท้องถึงธรรมชาติแห่งความรับรู้ของมนุษย์ที่เป็น กระบวนการที่ไม่มีขอบเขต...ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาให้จบสิ้นลงและในทันทีก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาและก็กลับไปแก้ปัญหาใหม่อีกตลอดไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าเราเริ่มต้นจากรูปแบบที่ต่ำที่สุดของความรับรู้ ในระดับของความรู้สึกจากประสบการณ์,ความจำกัดของตรรกะแบบแผน
และ”สามัญสำนึก”
ในที่สุดก็จะมีความกระจ่าง
จิตใจจะจดบันทึกความจริงที่เราประสบอย่างปกติทั่วไป เมื่อแรกเห็น..ความจริงจากความรู้สึกสัมผัส
ดูเหมือนว่าธรรมดาและชัดแจ้งในตัวมันเอง
เราสามารถมีความเชื่อมั่นได้เมื่อทำการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด, แต่บรรดาสรรพสิ่งนั้นย่อมไม่ธรรมดาเช่นนั้น....สิ่งที่ดูเหมือนจะมั่นคง...สิ่งที่ปรากฏรูปร่างมั่นคงและเชื่อถือได้ กลับไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น โลกเคลื่อนไหวไปใต้ฝ่าเท้าของเรา
ความรู้สึกที่แน่นอนเริ่มจาก
“ที่นี่” และ “เดี๋ยวนี้”
เฮเกลกล่าวว่า...“ความรู้สึกที่แน่นอนเองนั้นควรจะถามว่าอะไรคือสิ่ง
“นี้”?
ถ้าเราทำให้มันเป็นรูปพับสองด้านของการดำรงอยู่ของมันเช่น ”เดี๋ยวนี้” และ
”ที่นี่” วิภาษวิธีที่มีอยู่ในนั้นจะมีรูปแบบที่เข้าใจได้อย่างแจ่มชัดในตัวเองของ
“สิ่งนี้” คำถามอยู่มีว่า “เดี๋ยวนี้” คืออะไร? เราตอบว่า..ตัวอย่างเช่น
“เดี๋ยวนี้” คือ เวลากลางคืน
เพื่อพิสูจน์ความจริงของความแน่นอนของความรู้สึกนี้,ด้วยการทดลองแบบง่ายๆอย่างที่เราต้องการ...โดยการเขียนความจริงลงไป
ความจริงไม่ได้สูญเสียไปในขณะที่เขียน..ทีนี้เรามามองดู..มันเป็นเวลาเที่ยงวัน ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่ามันได้เปลี่ยนไปและกลายเป็นสิ่งที่เก่าไปแล้ว”
(Op. cit., p. 151.)
ความเห็นนี้ของเฮเกลทำให้หวนคิดถึงคำกล่าวที่ยากแก่การเข้าใจอันลือลั่นของเซโน(Zeno )ในเรื่องความสัมพันธ์ของการเคลื่อนที่ ตัวอย่างเช่น..ถ้าเราต้องการกำหนดตำแหน่งของลูกธนูที่กำลังเคลื่อนที่อยู่และถามว่าตอนนี้มันอยู่ตรงไหน ในขณะที่เรากำลังชี้..มันได้ผ่านไปแล้ว และคำว่า“เดี๋ยวนี” ก็ไม่ ใช่อะไรอีกต่อไปแต่มันเป็นบางอย่างที่ผ่านไปแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏขึ้นจริงในครั้งแรกนั้นได้กลายไปเป็นสิ่งที่ผิดแผกไป เหตุผลจะถูกพบในธรรมชาติของการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกัน ความขัดแย้งเป็นกระบวนการ..ไม่ใช่การรวมตัวของจุดที่แตกต่างกัน สิ่งที่คล้ายคลึงกัน, เวลาประกอบไปด้วยจำนวน ”เดี๋ยวนี้” ทั้งหมดที่รวมกันอย่างไม่มีขอบเขต ในทำนองเดียวกัน “ที่นี่” ก็ไม่ได้เป็น
“ที่นี่”แต่โดดๆอีกต่อไป แต่มีก่อนและหลัง..บนและล่าง..ขวาและซ้าย เหมือนนี่คือต้นไม้ ซึ่งในเวลาถัดไปนี่คือบ้าน หรือเป็นสิ่งอื่นๆไปแล้ว...จบตอน 1
No comments:
Post a Comment