ปัจจุบันนี้ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยม ทำให้มวลชนกรรมกรจำต้องรีบเร่งพัฒนาความรับรู้ของตนในเรื่องเศรษฐกิจให้มากขึ้น
ต้องพยายามทำความเข้าใจต่อพลังที่ครอบงำการดำรงชีพของพวกเราอยู่ เอกสารนี้เป็นการนำเสนอเศรษฐศาสตร์แบบลัทธิมาร์กซหรือที่นิยมเรียกกันว่าเศรษฐ
ศาสตร์การเมือง ด้วยมีความตั้งใจที่จะยกระดับจิตสำนึกของกรรมกรเราเกี่ยวกับความรับรู้ในเรื่อง ศาสตร์เบื้องต้น
ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะและกฎขั้นพื้นฐานของระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่กำลังครอบงำการดำรงชีวิตของเราอยู่ในทุกวันนี้
ความไม่ลึกซึ้งพอของเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมได้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในความเข้าใจวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบของตัวมันเอง มันได้แสดงบทบาทเพียงเพื่อปกปิดซ่อนเร้นการเอารัดเอาเปรียบที่กระทำต่อกรรมกรทั้งหลาย และพยายามจะพิสูจน์ให้เห็นว่าระบอบทุนนิยมเป็นระ
บอบที่ดีที่สุดของสังคมเท่านั้น?
ทฤษฎีและวิธีแก้ปัญหาของมันไม่อาจเยียวยารักษาความเสื่อมโทรม ซึ่งเป็นโรคร้ายโดยธรรมชาติของระบอบทุนนิยม
มีแต่ต้องเปลี่ยนแปลงสังคมไปในวิถีแห่งสังคมนิยมเท่านั้นจึงจะสามารถหยุดยั้งฝันร้ายของ
ความซบเซา ความยุ่งเหยิงทางเศรษฐกิจและการว่างงานได้
ชนชั้นปกครองอนุรักษ์นิยมไม่ยอมรับ เคนส์
พระเจ้าองค์เก่าอีกต่อไป และหันไปใช้วิธีทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมมาแก้ไขวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นการตัดลด(cuts) เช่นลดค่าจ้าง ลดสวัสดิการ ลดเงินบำนาญ ลดการจ้างงานและการชะลอการผลิตเป็นต้น
บรรดานักปฏิรูปปีกซ้ายยังคงยึดติดกับนโยบายของระบอบทุนนิยมที่เคยใช้กันมาเช่น การอัดฉีดเงินเข้าระบบ ควบคุมการนำเข้า ฯลฯเป็นที่รู้กันดีถึงความไร้ประสิทธิภาพภายใต้ระบอบทุนนิยม มีแต่ความเข้าใจระบอบทุนนิยมแบบลัทธิมาร์กซเท่านั้นจิต
สำนึกของมวลชนกรรมกรจึงจะสามารถทะลุผ่านการบิดเบือนของนักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมและคัดค้านอิทธิพลของมันด้วยการเคลื่อนไหวทางด้านต่างๆโดยเฉพาะในด้านแรงงาน
เองเกลส์ได้กล่าวไว้ว่า “หลักการของการแบ่งงานกันทำตั้งอยู่บนรากฐานของการแบ่งแยกทางชนชั้น” เมื่อสังคมมีการแบ่งงานกันทำ ก็เนื่องมาจากสาเหตุที่มีผลผลิตส่วนเกินนอกเหนือไป
จากการผลิตเพื่อดำรงชีพ สังคมในขณะนี้จึงมิได้ประกอบด้วยแรงงานจำเป็นอย่างที่เคยเป็นแล้ว
เพราะผลผลิตจากแรงงานบางส่วนถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยคนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ทำการผลิตเพื่อประ
ทังชีวิตของพวกเขา,แต่ยังชีพอยู่ได้โดยอาศัยแรงงานของผู้อื่น สถานการณ์เช่นนี้..คนส่วนที่รับผลผลิตจากแรงงานส่วนเกินเพื่อการดำรงชีพจึงกลายไปเป็นชนชั้นปกครอง
ในสังคมจึงได้เกิดแรง
งานขึ้นมาอีกชนิดหนึ่งที่นอกเหนือไปจากแรงงานจำเป็นเรียกว่าแรงงานส่วนเกิน เราสามารถจำแนกได้ว่าผลผลิตที่ผลิตขึ้นเพื่อการยังชีพนั้นมาจากแรงงานจำเป็น ส่วนผลผลิตที่เกินไปจากความจำเป็นในการเลี้ยงชีพเรียกว่าผลผลิตส่วนเกินผลิตโดยแรงงานส่วนเกินของชนชั้นกรรมกรที่ถูกชนชั้นปกครองแย่งยึดเอาไป ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตตามธรรมชาติ สินค้า
หรือเงินตรา
ฐานะของทุนนิยม ขณะนี้การผลิตแบบทันสมัยได้รวมศูนย์อยู่ในมือของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย เช่น ลีเวอร์บราเดอร์ส ปตท. ซีพี
ปูนซีเมนต์ ฯลฯ บวกกับธนาคารและบริษัทธุรกิจการเงินขนาดใหญ่ทำให้ชีวิตของประชาชนไทยต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำของบริษัทที่ยกต้วอย่างมานี้ จริงอยู่แม้
ว่ากิจการเล็กๆยังสามารถดำรงอยู่ได้.แต่ก็เป็นเพียงตัวแทนของอดีตเท่านั้นไม่ใช่สำหรับอนาคต(เพราะ ไม่นานก็จะถูกกลืน) การผลิตสมัยใหม่เป็นระบบที่จำเป็นต้องผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากและเป็นธุรกิจที่มีขอบเขตกว้างขวาง ในยุคสมัยของมาร์กซ...เมื่อนักเศรษฐศาสตร์แนวหน้าได้ทำนายถึงระบบเศรษฐกิจในอนาคตว่าจะเป็นระบบการค้าเสรี ในขณะที่มาร์กซได้อธิบายถึงพัฒนาการของระบบผูกขาดที่มาจากการแข่งขัน..จะทำให้บริษัทเล็กๆต้องหันหลังชนกำแพง
และมีทางเลือกอยู่เพียงสองทางคือ หากไม่ถูกกลืนกินไปก็ต้องเลิกกิจการ ระบบทุนนิยมผูกขาดจึงได้เติบโตขึ้นและไม่ได้สนใจต่อการแข่งขันอย่างเสรี
แรกทีเดียว....สินค้าและสิ่งต่างๆได้ผลิตขึ้นมาด้วยจุดประสงค์หลักก็เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์และเป็นที่ชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นในทุกๆสังคม แต่ภายใต้ระบอบทุนนิยม....สินค้าไม่ได้ผลิตขึ้นมาเพียงเพื่อสนองความพอใจและความต้องการของใครคนใดคนหนึ่ง
หากแต่เป้าประสงค์แรกสุดก็คือการ ”ขาย”
ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งของระบบอุตสาหกรรมแบบทุนนิยม
เหมือนที่อดีตประธานบริษัทผลิตรถยนต์ใหญ่แห่งหนึ่งได้กล่าวว่า “ผมทำธุรกิจเพื่อทำเงิน ไม่ใช่รถยนต์” คำ พูดประโยคนี้เป็นการแสดงถึงความปรารถนาที่สมบูรณ์แบบของชนชั้นนายทุน
ระบบการผลิตแบบทุนนิยมต้องการปัจจัยที่มีอยู่ 2 ประการคือ หนึ่ง.การมีอยู่ของชนชั้นผู้ไร้สมบัติจำนวนมหาศาล...ซึ่งหมายถึงกรรมกรผู้ถูกบีบให้ขายแรงงานของตนเพื่อแลกกับอาหารสำหรับประทังชีวิต
ดังนั้นทัศนะคติเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตยในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน”
ของพวกอนุรักษ์นิยมจึงเป็นทัศนะที่เหลวไหลอย่างมากภายใต้ระบอบทุนนิยม เพราะหากว่าประชาชนส่วนใหญ่สามารถเป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว ชนชั้นนายทุนคงไม่อาจหากรรมกรมาทำงานเพื่อทำ
“กำไร” ให้แก่ตนได้ สอง.ปัจจัยการผลิตจะต้องรวมศูนย์อยู่ในมือของนายทุน เป็นเวลามากกว่าศตวรรษที่บรรดาชาวนาและผู้ถือครองปัจจัยในการดำรงชีพได้ถูกบดขยี้ลงอย่างไร้เมตตาธรรม และปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตได้ถูกนายทุนและเจ้าที่ดินแย่งยึดเอาไป และจ้างกรรมกรทำงานโดยใช้ปัจ
จัยการผลิตเหล่านั้นมาสร้างผลผลิตและกำไรส่วนเกินให้แก่ตนเอง
สินค้า และ มูลค่า ระบบทุนนิยมทำงานอย่างไร?...ทำไมกรรมกรจึงถูกเอารัดเอาเปรียบ?...กำไรมาจากไหน?...อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ
การจะตอบคำถามเหล่านี้แรกสุดเรามีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้กุญแจที่ไขไปสู่ความลับเสียก่อนว่า...
....อะไรคือมูลค่า (value)? เราจึงจะสามารถตอบปัญหาเหล่านี้ได้และคำถามเรื่องอื่นๆก็จะตกไป ความเข้าใจเรื่องมูลค่านี้เป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดในการทำความเข้าใจระบบเศรษฐศาสตร์ของสังคมทุนนิยม เราจะมาเริ่มต้นที่บรรดาบริษัทผลิตสินค้าหรือบริการในระบอบทุนนิยมกันก่อน
สินค้าพวกนี้ผลิตเพื่อขายอย่างเดียวและแน่นอนอาจมีบ้างที่ผลิตเพื่อใช้สอยส่วนตัว
ก่อนที่ระบอบทุนนิยมจะเกิดขึ้น,มนุษย์ได้ทำการผลิตมาแล้วแต่นั่นไม่ใช่
“สินค้า” การผลิตแบบทุนนิยมได้สร้างและสะสมสินค้าขึ้นมาเป็นจำนวนมาก และนั่นเป็นสาเหตุให้มาร์กซได้เริ่มตรวจสอบระบอบทุนนิยมด้วยการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของตัว
“สินค้า” และสรุปได้ว่า สินค้าคือสิ่งใดๆที่สามารถ
สนองความต้องการของมนุษย์ได้ แลกเปลี่ยนได้ ประโยชน์ของสินค้าแต่ละชนิดย่อมเป็นสิ่งที่กำหนดมูลค่าของมัน
แต่ถ้าหากสิ่งใดๆไม่ได้ถูกใช้สอยย่อมไม่เกิดมูลค่า ตัวอย่างเช่นมูลสัตว์เมื่อทิ้งไว้เฉยๆก็ไม่เกิดมูลค่าแต่อย่างใด แต่เมื่อมีความต้องการใช้ประโยชน์โดยการนำไปทำปุ๋ยก็จะเกิดมูลค่าขึ้นมาทันทีนั่นคือ
“มูลค่าใช้สอย” มาร์กซกล่าวว่า
“สิ่งหนึ่งสามารถมีมูลค่าใช้สอยได้
แต่ไม่มีมูลค่า นั่นคือตราบเท่าที่สิ่งนั้นมนุษย์นำมาใช้สอยได้แต่ไม่ได้เกิดจากแรงงานเช่นอากาศ ทะเล แม่น้ำ
ฯลฯ” (แต่ในปัจจุบันอาจจะแตกต่างไปจากทัศนะของมาร์กซ
เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยี)
นอกจากจะมีมูลค่าใช้สอยแล้วมันยังจะต้องผ่านการแลกเปลี่ยน,แล้วหมุนเวียนไปอยู่ในมือคนอื่นๆ ลักษณะที่มันจะแลกเปลี่ยนกับผลิตภัณฑ์อย่างอื่นได้ดังกล่าวนี้เราเรียกว่า
“มูลค่าแลกเปลี่ยน” ผลิตผลใดที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เองโดยไม่ได้นำไปแลกเปลี่ยนก็ยังไม่นับว่าเป็นตัวสินค้า
เช่นชาวนานำ ข้าวที่ผลิตได้ไปชำระค่าเช่าแก่เจ้าที่ดินโดยมิได้ค่าตอบแทนและไม่ได้แลกเปลี่ยนโดยผ่านการซื้อขายในกรณีเช่นนี้ข้าวจึงยังไม่ใช่สินค้า
ในขณะที่สินค้าต่างๆสามารถจะนำมาเปรียบเทียบกันได้สามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์เป็นสัดส่วนกันทางจำนวน ดังนั้นมูลค่าของสินค้าแต่ละชนิดจึงมี ”อะไร”
ร่วมกันอยู่....นั่นคือแรงงานมนุษย์ที่ต้องสิ้นเปลืองไปในการผลิตสินค้า แม้ว่ามูลค่าใช้สอยของสินค้าแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน
แต่การสิ้นเปลืองแรงงานกลับเหมือนกันเพราะว่าสินค้าทุกชนิดล้วนเป็นผลิตผลของการใช้แรงงานที่แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมด้วยระยะเวลาเป็นเดือน สัปดาห์
วัน ชั่วโมง ฯลฯ
ในสังคมทุนนิยมนั้นการผลิตสินค้าคือการผลิตมูลค่าในการแลกเปลี่ยน มันได้บรรลุถึงการพัฒนาการ
ที่สูงสุดและก้าวหน้าที่สุดของสังคม ผู้ผลิตสินค้าทำการผลิตโดยมิได้มุ่งหวังเพื่อความต้องการมูลค่าในการใช้สอย แต่มุ่งหวังให้เกิด มูลค่า ขึ้น
เพื่อจะแลกกับสินค้าอย่างอื่นได้ เช่นช่างเหล็กไม่ได้หวังที่จะใช้ประโยชน์ในการใช้จอบเสียมที่เขาผลิตขึ้น ความปรารถนาของเขาก็คือนำเอาจอบเสียมไปขายเพื่อให้มันเกิดมูลค่า
ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างแรงงานส่วนตัว
และ แรงงานสังคม อีกประประเด็นหนึ่งที่ว่า..ทำไมถึงกล่าวว่าการผลิตมีลักษณะสังคม?
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่ามูลค่าใช้สอยที่ผู้ผลิตสินค้าได้ผลิตออกมานั้นมิได้สนองต่อความต้องการของพวกเขา หากแต่เป็นการสนองต่อความต้องการของสังคม ดังนั้นแรงงานของผู้ผลิตจึงมีลักษณะสังคม
แรงงานเฉลี่ย ถ้าเรามองถึงประโยชน์ใช้สอยในตัวสินค้า เราก็จะเห็นแต่เพียงว่า รองเท้า หมวก ฯลฯ เป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นมาโดยแรงงานของกรรมกร...ซึ่งก็คือแรงงานของช่างทำรองเท้า
แรงงานของช่างทำหมวกเรียกว่า แรงงานรูปธรรม
ซึ่งสร้างมูลค่าใช้สอย มันมีลักษณะเฉพาะ แต่ในการแลก เปลี่ยนสินค้านั้นมุมมองจะแตกต่างออกไป
เพราะลักษณะพิเศษที่ถูกมองข้ามก็คือเวลาเฉลึ่ยในการใช้แรงงาน ดังนั้นในการแลกเปลี่ยนสินค้าเราจึงต้องคำนึงถึงจำนวนแรงงานที่มนุษย์ใช้ไปในการผลิตสินค้าด้วย และแน่นอน...สินค้าที่ผลิตโดยแรงงานมีฝีมือที่มีความชำนาญย่อมมีมูลค่าโดยเฉลี่ยแล้วมากกว่าสินค้าที่ผลิตโดยแรงไร้ฝีมือ แต่ทว่าในการแลกเปลี่ยน....จำนวนแรงงานที่มีฝีมือกลับถูกทำให้ลดน้อยลงในอัตราเฉลี่ยเท่ากับแรงงานที่ไม่มีฝีมือ อธิบายง่ายๆก็คือ,สินค้าถูกนำไปขายในตลาดผู้ซื้อเห็นแต่ตัวสินค้าไม่เห็นผู้ผลิตพวกเขายอมรับเฉพาะปริมาณทางมูลค่าเพียงอย่างเดียว แต่มูลค่าของสินค้าถูกพิจารณาโดยจำนวนของแรงแรงงานเฉลี่ย ดังนั้นมูลค่าของสินค้าจึงไม่สามารถกำหนด โดยระยะเวลาของการใช้แรงงานที่มีลักษณะทั่วไป เราเรียกแรงงานชนิดนี้ว่าแรงงานนามธรรม ซึ่งก็คืออัตราเฉลี่ยของแรงงานที่ใช้ไปในการผลิตสินค้า,มีลักษณะทั่วไป เป็นแรงงานที่สร้างมูลค่าแลกเปลี่ยน ตัวอย่างรูปธรรมก็คือ...ในการผลิตถุงเท้า
10 คู่ แรงงานที่มีฝีมือจะใช้เวลา10 ชั่วโมง
แต่แรงงานไม่มีฝีมือจะใช้เวลา 14 ชั่วโมง
ดังนั้นแรงงานถัวเฉลี่ยที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก็คือ
12 ชั่วโมง
เมื่อพูดถึงปริมาณการใช้แรงงานเป็นตัวกำหนดมูลค่า มิใช่แต่จะจำแนกเวลาการใช้แรงงานส่วนตัวกับแรงงานจำเป็นของสังคมเท่านั้น หากต้องจำแนกแรงงานมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมืออีกด้วย สิ่งที่เรียกว่าแรงงานไม่มีฝีมือคือแรงงานที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนทางเทคนิคเฉพาะเรื่อง
ในขณะที่แรงงานมีฝีมือจำต้องผ่านการฝึกฝนมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การใช้แรงงานในการผลิตในสาขาต่างๆล้วนแล้ว
แต่ต้องมีการฝึกฝนทักษะมาเป็นอย่างดี เราจะเห็นว่าการตัดอ้อยย่อมไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมากไป กว่าการประกอบรถยนต์ เมื่อเป็นเช่นนี้แรงงานของคนตัดอ้อยย่อมไม่เท่ากับแรงงานของช่างประกอบรถยนต์ในเวลาทำงาน1ชั่วโมงเท่ากัน เพราะถ้าเท่ากัน…..คนทั้งหลายก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่าเรียนทักษะพิเศษอะไรกันแล้ว ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าแรงงานของช่างประกอบรถยนต์ย่อมมีค่ามากกว่าแรงงานของคนตัดอ้อยในระยะเวลาทำงานที่เท่ากัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า มูลค่าคือการใช้แรงงานของสังคมที่เป็นองค์ประกอบอยู่ภายในตัวสินค้า
ต่อประเด็นนี้มาร์กซได้กล่าวไว้ในนิพนธ์ “วิพากษ์นโยบายโกธา” เกี่ยวกับความเสมอภาคทางด้านแรงงานว่า
“ความเสมอภาควัดกันโดยบรรทัดฐานเดียวกันคือแรงงาน
แต่ทว่าคนหนึ่งเหนือกว่าอีกคนหนึ่งในทางกำลังกายหรือสติปัญญา ดังนั้นจึงสนองแรงงานได้มากกว่าในช่วงเวลาเดียวกัน หรือทำงานได้มากกว่า และเพื่อที่จะให้แรงงานเป็นบรรทัดฐาน จะต้องว่ากันที่ระยะเวลาและความหนักเบาของมัน
มิฉะนั้นแล้วย่อมถือเอาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ สิทธิเสมอภาคนี้เป็นสิทธิที่ไม่เสมอภาคสำหรับแรงงานที่ไม่เท่าเทียมกัน มันไม่รับรองความเหลื่อมล้ำใดๆในทางชนชั้น เพราะว่าทุกคนต่างก็เป็นผู้ใช้แรงงานเช่นเดียวกับคนอื่น แต่ทว่ามันรับรองโดยดุษฎีถึงเชาว์ปัญญาที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นมันจึงเป็นการรับรองกันว่าความสามารถในการทำงานที่ไม่เท่าเทียมกันนั้นเป็นอภิสิทธิ์โดยธรรมชาติ…
”
มูลค่าส่วนเกิน จากทฤษฎีความสัมพันธ์ของมูลค่ากับแรงงาน มาร์กซยังได้สร้างทฤษฎีมูลค่าส่วน
เกินขึ้นมา เป็นการฉีกหน้ากากของบรรดานายทุนทั้งหลาย เราทราบกันว่า..ภายหลังการแบ่งงานกันทำแล้ว
ทำให้มีการยอมรับในทรัพย์สินส่วนบุคคล
ดังนั้นสินค้าที่แต่ละคนผลิตขึ้นมาจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ผลิต แต่สินค้าแต่ละชนิดนั้นจะต้องมีมูลค่าใช้สอยจึงจะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าตัวอื่นๆได้ สืบเนื่องมาจากการยอมรับกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล..
ทำให้เกิดค่านิยมของความเห็นแก่ตัว
มือใครยาวสาวได้สาวเอา มีการเอารัดเอาเปรียบกันอย่างรุนแรง
นายทุนผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตย่อมเห็นช่องทางในการขูดรีดกรรมกรที่ไร้ปัจจัยการผลิต จึงเป็นบ่อเกิดของมูลค่าส่วนเกินหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคืออัตราการขูดรีดแรงงานนั่นเองซึ่งมีรูปธรรมดังนี้
1 การเพิ่มเวลาทำงาน โดยให้ค่าจ้างเท่าเดิม เรียกว่ามูลค่าส่วนเกินแบบสัมบูรณ์ วิธีการเช่นนี้บรรดานายทุนในระยะต้นของระบอบทุนนิยมมักจะใช้กันอยู่เป็นประจำ และได้รับการต่อต้านจากกรรมกรมาตลอดเช่นกัน ดังนั้นนายทุนจึงคิดค้นวิธีขูดรีดแรงงานส่วนเกินขึ้นมาอีกได้แก่
2 กำหนดเวลาทำงานเท่าเดิม แต่เร่งการผลิตให้เร็วขึ้นโดยวิธีต่างๆ(ใช้เทคโนโลยี่)เรียกว่ามูลค่าส่วนเกินสัมพัทธ์
ในปัจจุบันนี้การขูดรีดแรงงานส่วนเกินได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆขึ้นอีกมากมายเช่นการเหมางาน การนับชิ้นงาน
และบริษัทนายหน้าหาแรงงานให้กับโรงงานอุตสาหกรรม การผลิตที่มีลักษณะเป็นสายการ ผลิต(process)ซึ่งบีบให้กรรมกรต้องทำงานตลอดเวลา หากขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งสะดุดลงกระบวน
การผลิตทั้งกระบวนก็จะหยุดลง
กรรมกรจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ฯลฯ นั่นหมายความว่ากรรมกรถูกบีบให้ทำการผลิตผลิตเพื่อตัวเองน้อยลง,ผลิตให้นายจ้างมากขึ้น ค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าพลังแรงงาน ของกรรมกรได้แก่ตัวเงิน อาจจะคิดเป็นรายเดือน รายวัน รายชั่วโมง แล้วแต่จะตกลงกัน เรียกว่าค่าแรงในนาม หรือ ค่าแรงเทียม แต่สิ่งที่กรรมกรต้องการเพื่อยังชีพจริงๆนั้นมิใช่เงิน
ตรา..หากแต่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตตามความเป็นจริงที่ซื้อหามาด้วยเงินค่าจ้าง จึงเรียกว่าค่าแรงที่เป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของกรรมกร
เงินตรา การแลกเปลี่ยนขั้นต้นของมนุษย์ก็คือการแลกเปลี่ยนกันโดยตรงระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นเมื่อพัฒนาการของการแบ่งงานกันทำในสังคม
..การแลกเปลี่ยนสินค้าและความหลากหลายของสินค้าที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกันมีมากขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนสินค้ามีความยุ่งยากซับซ้อนและไม่สะดวกโดยเฉพาะในการขนย้าย การกำหนดมูลค่า ฯลฯ อีกทั้งการแลกเปลี่ยนโดยตรงไม่สามารถสนองความต้องการสินค้าของทั้งสองฝ่ายได้ หากความต้องการสินค้าที่ต่างฝ่ายต้องการ การแลกเปลี่ยนจึงจะประสบความสำเร็จได้ หากไม่..ก็จะเกิดปัญหาขึ้น จึงมีการพัฒนามาใช้ ”สื่อกลาง” ในการแลก
เปลี่ยนโดยการตีราคาสินค้าเป็นตัวเงินแทน ในที่สุด”สื่อกลาง”
ที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไปได้ แก่ทองคำ โดยคุณสมบัติของมันในฐานะที่เป็นสินค้าตัวหนึ่งและมีมูลค่าใช้สอยของมัน นั่นหมาย ความว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าของสินค้าอื่นๆได้โดยผ่านการเปรียบเทียบ กล่าวคือ..ไม่ว่าสินค้าชนิดใดหากต้องการจะนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่นก็จะต้องเทียบมูลค่าของมันกับทองคำเสียก่อน จากนั้นถึงจะนำไปแลกกับสินค้าชนิดอื่นที่ถูกกำหนดมูลค่าโดยทองคำเช่นกัน สมมุตว่าข้าวเปลือกหนึ่งเกวียนเทียบมูลค่าเท่ากับทองคำหนัก
1 บาท เมื่อนำไปแลกกับหมูที่มีมูลค่าเมื่อเทียบกับทองคำแล้ว หมูหนึ่งตัวเทียบเท่ามูลค่าทองคำ
1 สลึง
ดังนั้นข้าว 1 เกวียนจะแลกหมูได้
4 ตัว อย่างนี้เป็นต้น
ทองคำซึ่งมีบทบาทเป็นสื่อกลางในการเปรียบเทียบมูลค่าของสินค้าเพื่อการแลกเปลี่ยนนั้นเรียกกันว่าเงินตรา นอกจากจะมีบทบาทดังที่กล่าวมาแล้ว ทองคำยังถือว่าเป็นมาตรการของการเดินสะพัดของสินค้าด้วย ที่เรียกว่าการเดินสะพัดของสินค้า ก็คือการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ใช้เงินตราเป็นสื่อกลางนั่นเอง ราคาก็คือการแสดงออกของมูลค่า ดังนั้นทองคำจึงถูกใช้แทนมูลค่า เนื่องมาจากคุณสมบัติของมันคือ
หายาก มีความทนทาน แม้จะมีจำนวนเพียงเล็กน้อยมันก็ยังคงคุณค่าอยู่ในตัวของมัน ทั้งยังสามารถแบ่งย่อยออกไปในรูปต่างๆอีกด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปของเหรียญกษาปณ์ แม้จะใช้โลหะอย่างอื่นมาทำเหรียญแต่ทองคำก็ยังคงเป็นตัวกำหนดมูลค่าอยู่นั่นเอง
มีคำถามหนึ่งซึ่งเราเคยได้ยินมาบ่อยๆนั่นคือ “เงินตราเป็นทุนหรือไม่” ตอบว่าทั้งเป็นและไม่เป็นโดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นเช่นนั้นซึ่งก็ถูกต้องแต่ไม่ทั้งหมด สำหรับนักลัทธิมาร์กซมองว่า ถ้าเงินตราถูกนายทุนใช้เป็นเครื่องมือในการขูดรีดจะพิจารณาว่ามันเป็น
“ทุน” แต่ถ้าใช้มันเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
ฐานะความเป็นทุนของมันก็จะไม่เกิดขึ้น
ทุน เราทราบกันแล้วว่าเศรษฐกิจสังคมบรรพกาลเป็นเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ การผลิตมีจุดมุ่ง
หมายอยู่ที่การใช้สอยบริโภค ช่วงเวลาระหว่างสังคมบรรพกาลกับสังคมทุนนิยมนั้นนับเป็นช่วงที่ยาวนานมากในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ก่อนจะถึงสังคมทุนนิยม(ยกเว้นในสังคมบรรพกาล)ก็ได้มีการผลิตสินค้าด้วยกิจการขนาดเล็กแล้ว
นอกจากเพื่อใช้สอยแล้วยังทำการผลิตเพื่อนำไปแลกเปลี่ยน-ซื้อขายอีกด้วย ในสังคมที่มีรากฐานการผลิตสินค้าด้วยกิจการขนาดเล็กนี้มีการดำเนิน
งานทางเศรษฐกิจสองชนิดคือการ ขายเพื่อซื้อ และ ซื้อเพื่อขาย ตัวอย่างเช่นชาวนาและช่างฝีมือได้นำผลผลิตของตนไปยังตลาดเพื่อขายสินค้า ต้องการจะนำเอาเงินที่ได้มาไปซื้อสินค้าอื่นๆที่ต้อง
การ เช่นชาวนาขายข้าวเพื่อไปซื้อเสื้อผ้า ช่างฝีมือนำผ้า(ทอ)
ไปขายเพื่อได้เงินมาซื้อข้าว กิจกรรมชนิดนี้เรียกว่าการ ขายเพื่อซื้อ ในขณะเดียวกันก็มีคนประเภทหนึ่งที่ไม่มีสินค้าอะไร ไม่ผลิตอะไร
แต่มีเงินไปซื้อสินค้าเพื่อจะนำไปขายต่อ
กิจกรรมของเขาก็คือการ ซื้อเพื่อขาย
ปฏิบัติการ ซื้อเพื่อขาย นี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อนำไปขายต่อด้วยราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมา
นั่นหมาย ความว่าเขาได้รับมูลค่าส่วนเกินไปแล้ว คงไม่มีใครที่จะขายสินค้าในราคาเดียวกันกับที่ซื้อมา ดัง นั้นจึงอาจนิยามได้ว่า..ทุนเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
จากมูลค่าส่วนเกิน ทุนที่มาจากมูลค่าส่วนเกินนั้นได้เกิดขึ้นในสังคมที่มีรากฐานการผลิตสินค้าขนาดเล็กก่อนหน้าระบอบทุนนิยมแล้ว ดังนั้น “ทุน” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาก่อนวิถีการผลิตแบบทุนนิยม การสะสมทุนชนิดนี้เรียกกันว่าการสะสมทุนแบบบรรพกาล..ซึ่งรวมไปถึงดอกเบี้ยและค่าเช่าด้วยโดยเฉพาะในยุคสังคมศักดินา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านจากสังคมก่อนทุนนิยมไปสู่ทุนนิยมนั้นมีลักษณะของการใช้ทุนเข้าไปมีส่วนในการผลิต ทุนจึงไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่เป็นตัวกลางและเป็นตัวขูดรีดในรูปแบบการผลิตที่มิใช่แบบทุนนิยมเท่านั้น สำ หรับการผลิตแบบทุนนิยม.....ทุนจะมีบทบาทอย่างสูงในการเข้าไปควบคุมปัจจัยการผลิตและยังแทรกเข้าไปในระบบการผลิตอีกด้วย วิถีการผลิตแบบทุนนิยมได้แยกผู้ผลิตออกจากปัจจัยการผลิต เนื่อง จากปัจจัยการผลิตเป็นกรรมสิทธ์ของนายทุน ในขณะเดียวกันก็มีการรวมศูนย์ปัจจัยการผลิตไปอยู่ในมือของชนชั้นเดียวคือชนชั้นนายทุน
ทุนสองชนิด
ทุนคงที่ หริอ ทุนไม่ผันแปร...ในกระบวนการผลิต
เครื่องจักร..และวัตถุดิบต่างๆได้สูญเสียมูลค่าใช้สอยของมันไปแล้ว มูลค่าที่สูญไปนี้ได้ก่อรูปขึ้นมาใหม่ในรูปของผลิตภัณฑ์ มูลค่าของมันได้ย้ายเข้าไปอยู่ในสินค้าตัวใหม่
นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่ามูลค่าของวัตถุดิบทั้งหมดได้ถูกสลายไปในระหว่างกระบวนการผลิต แล้วไปปรากฎขึ้นในชื่อของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาใหม่ แต่สำหรับเครื่องจักรนั้นไม่ได้สูญหายไปจากการแปรรูป..แต่มันมีการเสื่อมค่าลงในกระบวนการผลิต นั่นคืออายุการใช้งานจะสั้นลงในช่วงเวลาที่แน่นอนหนึ่งๆ,เครื่องจักรที่ใช้งานมานานประสิทธิภาพจะลดลง ชนชั้นนายทุนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยการคำนวณอย่างคร่าวๆว่าเครื่องจักรจะใช้งานได้นานเท่าใด การเสื่อมราคาของเครื่องจักรคือการสูญเสียมูลค่าใช้สอยของมันไปเป็นรายวัน มูลค่าใช้สอยที่สูญเสียไปนั้นได้ถูกคำนวณและได้บวกรวมเข้าไปในราคาของผลิตภัณฑ์
นั่นหมายความว่าค่าเสื่อมราคาของปัจจัยการผลิตได้ถูกบวกเข้าไปในตัวสินค้าแล้วทั้งหมด ทุนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร โรงงาน
วัตถุ ดิบเรียกว่า ทุนคงที่ หรือ
ทุนไม่ผันแปร
ทุนผันแปร หรือ ทุนไม่คงที่ ซึ่งก็คือเงินทุนที่นายทุนซื้อพลังแรงงานจากกรรมกร
เราทราบกันแล้วว่าแรงงานกรรมกรนั้นเป็นสินค้าพิเศษ ในขณะที่ถูกใช้ไป(ในการผลิต) กลับไม่สูญเสียมูลค่าไปหากยังได้สร้างมูลค่าใหม่ขึ้นมามากกว่าราคาที่ถูกซื้อไปเสียอีก ตัวอย่างเช่นนายทุนใช้เงิน 300
บาทไปซื้อพลังแรงงานกรรมกรใน 1 วัน การใช้แรงงานของกรรมกร
1วันสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า 400 บาทขึ้นมา นายทุนได้ขายผลิตภัณฑ์นี้ออกไปในราคา 400 บาท
และครอบครองมูลค่าทั้งหมดไป ในกระบวนการเคลื่อนไหวของทุนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมูลค่าขึ้น คือมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทุนส่วนที่ใช้ซื้อพลังแรงงานนี้จึงเรียกว่า ทุนผันแปร
หรือ ทุนไม่คงที่ ยกตัวอย่างเช่นเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นซึ่งถือได้ว่าเป็นทุนคงที่ ใช้แรงงานเพียง 20 คนควบคุมเรือ,พลังแรง งานของคนทั้ง 20 คนนี้ย่อมเป็นนายทุนซื้อหามา(จ้างมา) ถือว่าเป็นทุนที่ผันแปร
กำไร
บรรดานายทุนจะเรียกเงินที่พวกเขาได้เพิ่มขึ้นมาว่า “กำไร” ดังนั้นกำไรที่แท้แล้วก็คือมูลค่าส่วนเกินหรือตัวจำแลงของมูลค่าส่วนเกินที่นายทุนขูดรีดเอาไปจากกรรมกรนั่นเอง
ไม่ใช่อย่างที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ชนชั้นนายทุนได้อธิบายไว้ว่า กำไรคือการซื้อสินค้ามาด้วยราคาถูกแต่ขายไปในราคาแพง ต่อเรื่องนี้มาร์กซได้อธิบายคัดค้านนิยามที่เหลวไหลในบทความเรื่อง
“ค่าจ้าง แรงงาน และทุน” ของท่านว่า เมื่อมนุษย์กลายไปเป็นผู้ขายเขาจะต้องสูญเสียความเป็นผู้ซื้อไป เราไม่อาจกล่าวได้เลยว่ามนุษย์เป็นเพียงผู้ซื้อเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากผู้ขายหรือผู้บริโภคโดยไม่มีผู้ผลิต
พวกเขาจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าในขั้นแรกมีคนเอาเงินของคุณไปและหลังจากนั้นก็นำเงินมาคืนด้วยการซื้อสินค้าของคุณ คุณคงไม่สามารถร่ำรวยขึ้นจากการขายสินค้าที่ชายคนนั้นที่มาซื้อไปในราคาแพง
การค้าชนิดนี้มีแต่จะทำให้แย่ลง แต่มันจะช่วยให้ตระหนักถึง”กำไร”ที่แท้จริงได้ จินตภาพของกำไรที่นักเศรษฐศาสตร์ชนชั้นนายทุนใช้อธิบายนี้ มันได้ปกปิดความจริงของการขูดรีด
ในระบอบทุนนิยมไว้จนทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไป ประหนึ่งว่า..เงินที่งอกเงยมานั้นมิใช่เกิดจากการขูดรีดแรงงานส่วนเกินของกรรมกร หากแต่เป็นความสามารถในการประกอบ
การของนายทุนเอง
หลักการของเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ได้เรียบเรียงมานี้เป็นแค่เพียงความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่มวลชน ส่วนที่ลึกกว่านี้จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองเพื่อยกระดับคุณภาพความรับรู้ของเราให้สูงขึ้นไปอีก ในหมู่คนก้าวหน้า..ความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์การเมืองได้ถูกละเลยไปนาน เลนินได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมากโดยได้กล่าวไว้ว่า
"...ก่อนที่ชนชั้นกรรมกรจะก้าวขึ้นไปเป็นชนชั้นปกครอง (โดยการปฏิวัติ) จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจถึงระบบและวิธีการจัดการที่สลับซับซ้อนของระบอบทุนนิยมให้ดีเสียก่อน..."
ผู้เรียบเรียงจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารชิ้นนี้คงจะมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นศึกษา
"...ก่อนที่ชนชั้นกรรมกรจะก้าวขึ้นไปเป็นชนชั้นปกครอง (โดยการปฏิวัติ) จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจถึงระบบและวิธีการจัดการที่สลับซับซ้อนของระบอบทุนนิยมให้ดีเสียก่อน..."
ผู้เรียบเรียงจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารชิ้นนี้คงจะมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นศึกษา