ก่อนจะกล่าวถึงวัตถุนิยม ปวศ. ใคร่ขอทำความเข้าใจต่อคำบางคำที่ใช้ในเรื่องนี้ก่อนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันได้แก่
1
ปัจจัยการผลิต(means of production)...หมายถึง
เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ดิน วัตถุดิบ เทคโน โลยี ความรู้ความชำนาญ ความสามารถในการผลิต และการกระจายผลผลิต (ซื้อขายแลกเปลี่ยนและบริการ)
2
พลังการผลิต(force of production)...หมายถึง
(ปัจจัยการผลิต + แรงงาน)
3
ความสัมพันธ์ทางการผลิต (relation of production).....หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนเช่นในระบบการผลิตในระบอบทุนนิยมคือความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้าง+กรรมกร
และการแบ่งปันผลผลิต
4
รูปแบบการผลิต(mode of production)...หมายถึงวิถีการผลิตที่เป็นลักษณะพิเศษของสังคม
อาจกล่าวได้ว่าเป็นการจัดระบบการผลิตในสังคมหนึ่งๆ,การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีชนิดใดในการผลิต เช่นในสังคมทุนนิยมรูปแบบการผลิตจะมีลักษณะที่บุคคลเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต โดยใช้เครื่องจักร มีเป้าประสงค์ในการสะสมทุนโดยขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากค่าจ้างแรงงาน
วัตถุนิยมประวัติศาสตร์คืออะไร?
ต่อปัญหาที่ว่า...อะไรเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นไปของระบอบสังคม หรือสังคมมนุษย์มีพัฒนาการมาอย่างไร?
เรื่องเช่นนี้มนุษย์มีความสนใจใคร่รู้มานานมากแล้ว เพราะมันกระทบต่อชีวิตและผลประ
โยชน์ของมนุษย์ในทุกหนทุกแห่งและเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก สังคมมนุษย์มีความสลับซับซ้อนกว่าพัฒนาการของธรรมชาติซึ่งปรากฏการณ์ของมันมักจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก มีความเรียบง่ายและสม่ำ เสมอจึงไม่ยากที่จะทำความเข้าใจ สังคมมนุษย์มิได้เกิดขึ้นมาโดยความบังเอิญ ดังนั้นวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ก็คือการศึกษาสังคม
เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ซึ่งก็คือการต่อสู้ทางชน ชั้น สามารถกล่าวได้ว่ามาร์กซเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่นำเอาระบบคิดของปรัชญาวัตถุนิยมมาใช้ในการศึกษาค้นคว้า เป็นการพัฒนาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์สังคมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เป็นการเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุเป็นสาเหตุเบื้องต้นที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
วัตถุนิยมประวัติศาสตร์
ได้ค้นคว้าถึงสาเหตุของการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ ว่าด้วย การร่วมมือกันผลิตสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต,ชนชั้นในสังคมและความสัมพันธ์ของมันรวมไปถึงโครง สร้างทางการเมืองและวิธีคิด(อุดมการณ์)ของสังคมที่สะท้อนจากการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจขั้นพื้น
ฐานซึ่งก็คือการผลิตนั่นเอง สำหรับนักวัตถุนิยม...มาร์กซได้กล่าวไว้ว่า ”กรอบความคิดของนักวัตถุ นิยมที่มีต่อประวัติศาสตร์เริ่มต้นที่เรื่องราวของมนุษย์ผู้ทำการผลิตเพื่อการดำรงชีพของตน ถัดจากนั้นก็คือการผลิตเพื่อการแลกเปลี่ยนผลิตผลที่ผลิตขึ้นมา ถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคมที่ได้ปรากฏในทุกๆสังคมตลอดระยะประวัติศาสตร์, เป็นการกระจายความมั่งคั่งและเกิดการแบ่งชนชั้นขึ้นในสังคม มีการจัดระเบียบทางสังคมอย่างเป็นเอกเทศในแต่ละสังคม
...ขึ้นอยู่กับการผลิตชนิดใด,ทำไมถึงต้องผลิต,และทำไมจึงต้องมีการแลกเปลี่ยนผลผลิตกัน จากกระบวนการเช่นนี้จึงเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองโดยในท้ายที่สุด.... มีการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงด้วยการปฏิวัติซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต(Mode
of production)...”
วัตถุนิยมปวศ.เริ่มต้นจาก
เรื่องที่เป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติเพื่อความอยู่รอดและสืบสานเผ่าพันธุ์จากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันนี้ มันมีความจำเป็นที่จะต้องทำการผลิตและผลิตซ้ำเพื่อสนองต่อความต้องการพื้นฐานทางวัตถุที่มีความจำเป็นต่อชีวิต มาร์กซยังได้ขยายความต่อไปถึงหลักฐานที่ยืนยันถึงความจริงว่า เพื่อที่จะดำเนินการผลิตและการแลกเปลี่ยนมนุษย์จำต้องเข้าไปมีความสัมพันธ์
กันทางสังคม..โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์พื้นฐานที่สำคัญที่สุดได้แก่
"ความสัมพันธ์ทางการผลิต"
ตั้งแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ได้แยกตัวออกจากสัตว์ กระทั่งมนุษย์สายพันธุ์หนึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้,ใช้เวลาวิวัฒนาการมากระทั่งยืนตัวตรงด้วยขาหลัง ส่วนขาหน้าที่เคยใช้เดิน ปีนป่าย ก็พัฒนากลายเป็นมือ มีการใช้ภาษาโดยเฉพาะภาษากายที่ใช้สื่อสารกันเช่น การทำท่าทางโดยใช้อวัยวะต่างๆ และพัฒนามาเป็นการเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารกันส่วนใหญ่จะเป็นคำพยางค์เดียวเนื่องจากกล่องเสียงยังพัฒนาไม่สมบูรณ์(สังเกตได้จากเด็กทารก) มีความเฉลียวฉลาดและเรียนรู้เข้าใจธรรมชาติได้บ้าง สร้างเครื่องมือหยาบๆจากหิน
ไม้ และวัสดุธรรมชาติ รู้จักใช้ไฟในการดำเนินชีวิต เมื่อมีมนุษย์สังคมมนุษย์ก็ถือกำเนิดขึ้น,สังคมขั้นนี้ถือว่าเป็นสังคมขั้นต่ำสุดที่มาร์กซและเองเกลส์ เรียกว่า สังคมบรรพกาล มีการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นกลุ่ม ๆ..ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆพึ่งพากัน...อาศัยแรงงานของกันและกันเพื่อหาอาหารประทังชีวิต เช่นการล่าสัตว์ ร่วมกันปกป้องอันตรายจากสัตว์ร้าย ต่อสู้กับศัตรูเพื่อความอยู่รอดของสมาชิกในกลุ่ม
การพึ่งพากันนี้ทำให้เกิดความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งขึ้นคือการใช้แรงงานร่วมกัน
สังคมยุคนี้มีลักษณะครอบครัว..สมาชิกจะมีสายเลือดเดียวกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่า.บิดามารดา หนุ่มสาวไปจนถึงเด็กทารก สังคมนี้ไม่มีรัฐ ไม่มีชนชั้น
ไม่มีระบบกรรมสิทธิ์ นอกจากของใช้ส่วนตัวเช่นอาวุธ,เครื่องนุ่งห่มเป็นต้น
ปัจจัยการผลิตเป็นกรรมสิทธิ์ของส่วนรวมเช่นที่ดินทำกิน
ที่อยู่อาศัย และฝูงสัตว์เลี้ยง ในชั้นนี้ความ สัมพันธ์ทางการผลิตยังสอดคล้องกับพลังการผลิตอยู่ เนื่องจากพลังการผลิตยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ผลผลิตที่ได้จากการใช้แรงงานร่วมกันนอกจากจะใช้บริโภคแล้วก็ไม่เหลืออะไร หากมีใครสักคนได้ส่วนแบ่งมากกว่าผู้อื่นสมาชิกอื่นๆก็จะได้ส่วนแบ่งน้อยลงหรือบางคนไม่ได้เลย เมื่อความสัมพันธ์และการใช้แรงงานขยายตัวออกไปและเข้มแข็งขึ้น ทำให้ครอบครัว(family)พัฒนาขึ้นเป็น กลุ่มตระกูล(clan) และเผ่าพงศ์(tribes)ตามลำดับ ถือว่าเป็นการจัดตั้งทางสังคมครั้งแรกสุดของมนุษย์
สังคมบรรพกาลนี้ดำรงอยู่หลายแสนปีจึงค่อยๆสลายตัวไป ทางหนึ่งเนื่องมาจากมีการขยายตัวของเผ่าพันธ์มนุษย์เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ทางการผลิตเริ่มไม่สอดคล้องกับพลังการผลิตที่ขยายตัวเติบโตขึ้น ประ กอบกับมีการพัฒนาเครื่องมือการผลิตดีขึ้น คนจำนวนน้อยก็สามารถทำการผลิตได้...การใช้แรงงานร่วมกันค่อยๆหมดความจำเป็นลงไปอีกทั้งยังเป็นสิ่งขัดขวางประสิทธิภาพในการผลิตอีกด้วย ในชุมชนที่มีการผลิตสิ่งที่เหมือนกันก็ไม่มีความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนผลผลิตกัน
แต่ในชุมชนที่มีการผลิตไม่เหมือนกันการแลกเปลี่ยนก็ยังมีความจำเป็นอยู่ เนื่องจากบางชุมชนถนัดในการทำเกษตรกรรม บางชุมชนหรือบางเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตร กรรม ก็กลายเป็นพวกเลี้ยงปศุสัตว์เร่ร่อนไป ทำให้การเกษตรกรรมแยกออกจากการเลี้ยงสัตว์ ปรากฎการณ์เช่นนี้เป็นการแบ่งงานครั้งใหญ่ในสังคมมนุษย์
การเกิดขึ้นและล่มสลายของสังคมทาส
การแบ่งงานกันเช่นนี้จึงมีความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนผลผลิต โดยผ่านหัวหน้าตระกูลหรือหัวหน้าเผ่าซึ่งมีอำนาจในการควบคุมผลผลิตในชนเผ่าของตน ครั้นนานไปก็ค่อยๆแปลงผลผลิตเหล่านี้ให้กลาย
เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว อีกทั้งมีการแยกครอบครัวออกไปทำให้เกิดชุมชนใหม่ที่ประกอบด้วยสมาชิกที่ไม่ได้มาจากสายเลือดเดียวกัน แต่ละครอบครัวกลายเป็นหน่วยผลิตที่ทำการผลิตอย่างอิสระบางครอบ
ครัวถนัดการทำเกษตรกรรม บางครอบครัวถนัดการทอผ้า....ตีเหล็ก....ปั้นถ้วยชามและการทำหัตกรรม
อื่นๆ
การถือครองกรรมสิทธิ์จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ครอบครัวใหญ่ที่มั่งคั่งก็ใช้ความมั่งคั่งของตนรวมศูนย์ปัจจัยการผลิต ทำการให้เช่า
ให้กู้ยืมฯลฯ
ทำให้ความแตกต่างกันทางด้านทรัพย์สินยิ่งห่างกันออกไปอีก
คนที่ยากจนไม่สามารถใช้หนี้ได้ก็ขายตัวเป็นทาสรับใช้ ตระกูลใหญ่ที่มีทั้งความมั่งคั่ง มีอำนาจ
มีสมาชิกมากก็ได้ตั้งตัวเป็นชนชั้นปกครองในเขตครอบครองของตน สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาควบคุมสมาชิกจึงเป็นหน่ออ่อนของการกำเนิด
“รัฐ” และขยายเขตอิทธิพลของตนออกไปด้วยการสู้รบกับชนเผ่าอื่นๆเพื่อช่วงชิงดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ทรัพย์สมบัติ สัตว์เลี้ยง
ตลอดจนเกณฑ์ผู้คนของฝ่ายศัตรูที่พ่ายแพ้มาเป็นของตน,ใช้แรงงานแทนคนของตน “รัฐทาส” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นและมีหน้าที่ปกป้อง ทรัพย์สินของเจ้าทาส
เงื่อนไขสำคัญสองประการที่ทำให้เกิดรัฐทาสคือ การใช้แรงงานในการผลิตได้ยกระดับขึ้นจนถึงขั้นที่ไม่ใช่การผลิตเพื่อสนองความต้องการโดยเฉพาะตัวตนและครอบครัวแล้ว
หากยังสามารถสนองต่อความต้องการของผู้อื่นในสังคมได้อีกด้วย
และการพัฒนาของระบอบกรรมสิทธิ์ได้แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างความ
“มี”และ”ไม่มี” ที่แน่นอนระดับหนึ่ง มันได้สร้างความแตกต่างให้แก่สังคมอย่างชัดแจ้ง การใช้แรงงานในการผลิตเป็นหน้าที่ของทาส....ส่วนผลผลิตทั้งมวลได้กลายเป็นของครอบครัวที่มั่งคั่งของ”เจ้าทาส” ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางการผลิตระบอบทาสขึ้นมาแทนระบอบ
กรรมสิทธิ์ส่วนรวมของสังคมบรรพกาล
ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาพลังการผลิตของสังคมบรรพกาลนั่น เอง เราจะเห็นได้ว่าระบอบกรรมสิทธิ์ทำให้เกิดการกดขี่ ซึ่งนำไปสู่การแบ่งชนชั้นในสังคมคือชนชั้นที่กดขี่และชนชั้นที่ถูกกดขี่ รากฐานของความสัมพันธ์ทางการผลิตก็คือนายทาสจะเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตอีกทั้งยังครอบครองทาสซึ่งเป็นผู้ผลิตอีกด้วย ภายใต้การกดขี่บีบคั้นและการใช้แรงงานที่หนักหน่วงทำให้ทาสจำนวนมากต้องล้มตายไปตั้งแต่วัยหนุ่มสาวทำให้พลังการผลิตถูกทำลายลงเป็นอันมาก การแสวงหาทาสมาก็คือการทำสงครามเพื่อจะได้ทาสเชลยมาทดแทนจำนวนที่ต้องสูญเสียไป เหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์คือการลุกขึ้นสู้ของบรรดาทาสผู้ถูกกดขี่ที่นำโดยสปาร์ตาคัส
เมื่อราว2000 ปีมาแล้ว ผลที่ตามมาก็คือเกิดการลุกขึ้นสู้ของทาสขึ้นในทุกหนทุกแห่งทำให้รากฐานของรัฐทาสถูกบั่นทอนลง
ในช่วงปลายของสังคมทาส
ราคาทาสได้ขยับขึ้นสูงมากขึ้นทำให้ขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง เจ้าทาสไม่สามารถหาแรงงานทาสมาใช้ในการผลิตบนที่ดินผืนมหึมาของตนได้ เพราะความสัมพันธ์ทาง การผลิตไม่สอดคล้องกับพลังการผลิตของสังคมที่ขยายตัวเติบใหญ่ขึ้น ความต้องการที่จะปลดปล่อยพลังการผลิตจากความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบเก่า
เจ้าทาสจำต้องแบ่งที่ดินของตนออกเป็นผืนเล็กๆ
เพื่อให้คนจนที่ล้มละลาย,ทาสที่ถูกปลดปล่อยเช่าทำการผลิต
คนเหล่านี้ไม่ใช่ทาสแต่ก็ยังไม่ใช่เสรีชนแต่เป็น
“ชาวนามีสังกัด” เป็นผู้เช่าที่ดินและทำการผลิตแบบเอกเทศ..แต่ยังคงภาระในการใช้แรงงานกับเจ้าที่ดินซึ่งก็คือเจ้าทาสเดิมอยู่ ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ระหว่างเจ้าที่ดินกับไพร่ได้เริ่มเกิดขึ้นแทนที่ความสัมพันธ์ในการผลิตแบบเดิม
สังคมทาสที่ดำรงมานานก็ถึงคราวที่ต้องล่มสลายลง
สังคมศักดินา
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าในยุคปลายของสังคมทาสได้เกิดความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ขึ้น เป็นช่วงที่ผู้นำทางการทหารของชนเผ่าต่างๆได้เข้าช่วงชิงยึดครองที่ดินไว้ในอาณัติของตนเป็นจำนวนมาก
เจ้าศัก ดินาที่เข้มแข็งก็ตั้งตัวเป็นกษัตริย์และสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้น มีกองทหาร
เก็บภาษี ปล้นชิง
รุกรานเขตใกล้เคียงเพื่อขยายดินแดน
กษัตริย์ได้มอบที่ดินพร้อมทั้งประชาชนที่อาศัยในที่ดินนั้นให้แก่ ทายาท เครือญาติ ขุนศึกผู้รับใช้ใกล้ชิดเอาไปถือครองเพื่อแลกกับความภักดีและช่วยเหลือในยามที่เกิดสงคราม คนพวกนี้คือเจ้าศักดินา(feudal
lord) ซึ่งเป็นเสมือนข้าราชบริพาร(vassel) ของกษัตริย์
เจ้าศักดินา(feudal lord) ก็จะแบ่งที่ดินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อทำการผลิตโดยใช้แรงงานของประชาชนผู้อยู่ติดที่ดิน ส่วนที่เหลือก็จะแบ่งให้ลูกน้อบริวารงของตนอีกต่อหนึ่ง
(คำว่า feudal มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือ feudum หมายถึงที่ดิน ซึ่งคนรับที่ดินมาจากเจ้านาย(lord)จะต้องให้ความภักดีและรับใช้เจ้านายเพื่อตอบแทนที่ได้สิทธิ์ในที่ดินนั้น ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการแสวงหาความคุ้มครองจากเจ้าศักดินา)
สายสัมพันธ์ของสังคมในระดับต่างๆจะอยู่บนพื้นฐานของการคุ้มครองและแบ่งปัน ผลประโยชน์ซึ่งกันและกันโดยยึดถือเอาที่ดินเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วจะเอื้อประ โยชน์ให้แก่ชนชั้นเจ้าที่ดินศักดินามากกว่า
สำหรับประชาชนซึ่งเป็นไพร่ติดที่ดิน(serf)นั้นนอกจากจะไม่ได้รับประโยชน์จากสายสัมพันธ์ดังกล่าวแล้วยังมีชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้นและถูกขูดรีดแรงงานอย่างหนักหน่วงอีกด้วย
การผลิตในที่ดินของเจ้าศักดินานั้นอาศัยเครื่องมือการผลิตของไพร่ไปทำการผลิต การที่เจ้าศักดินาแบ่งที่ดินให้แก่ไพร่ติดที่ดินหรือให้เช่าเพื่อทำการผลิตนั้นก็เพื่อผูกมัดไพร่ที่มีปัจจัยการผลิตอยู่บ้างให้อยู่ติดที่ดินเพื่อสะดวกในการอาศัยแรงงานในการผลิตและสะดวกในการขูดรีด ภายใต้ระบอบศักดินาเจ้าศักดินาใช้รูปแบบของค่าเช่ามาฉกฉวยผลประโยชน์จากการใช้แรงงานของไพร่ไปอย่างแยบยล ไพร่นอกจากจะใช้แรงงานเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวแล้ว ยังต้องใช้แรงงานส่วนเกินให้แก่เจ้าศักดินาอีกด้วย ผลผลิตที่ได้จากแรงงานส่วนนี้คือการจ่ายค่าเช่าที่ดินให้แก่เจ้าศักดินานั่นเอง นอกจากจะจ่ายค่าเช่าเป็นผลผลิตแล้วรูปแบบค่าเช่าที่ต้องจ่ายให้ให้แก่เจ้าศักดินายังมาจาก.....การเกณฑ์แรงงาน...และเก็บเป็นตัวเงิน การปกครองแบบศักดินาจึงเป็นองค์กรปกครองที่ใช้อำนาจต่อผู้ใต้ปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ
ใช้ที่ดินเป็นเครื่องกำหนดฐานะและสิทธิ์ต่างๆของบุคคล ครอบคลุมไปทั้งด้านการปกครอง การทหาร และเศรษฐกิจ
เป็นระบบที่ควบคุมชีวิตของประชาชนตั้งแต่เกิดจนตายในสังคมศักดินา...
กษัตริย์คือเจ้าศักดินาสูงสุดเป็นผู้ถือครองที่ดินทั่วทั้งอาณาจักร ชนชั้นศักดินาและชนชั้นไพร่ถือว่าเป็นชนชั้นหลักในสังคมที่มีความขัดแย้งกันในด้านผลประโยชน์ นอกจากสองชนชั้นนี้แล้วยังประกอบไปด้วยเสรีชน
พ่อค้า และช่างฝีมืออีกด้วย แต่ชนชั้นเหล่านี้ยังไม่เติบใหญ่พอจึงยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองและพึ่งพาการคุ้มครองของเจ้าศักดินาเพื่อความอยู่รอดของตน ดังนั้นพื้นฐานทางเศรษฐ กิจของสังคมศักดินาจึงเป็นเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ ชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าศักดินาและสมุนบริวารล้วนอาศัยผลผลิตจากที่ดินซึ่งเกิดจากแรงงานของไพร่ การสร้างถาวรวัตถุต่างๆเช่น
การสร้างถนน ขุดคูคลอง ก่อสร้างปราสาท ป้อมปราการฯลฯ
ก็ล้วนแต่อาศัยแรงงานไพร่ทั้งสิ้น
เท่า นั้นยังไม่พอ ไพร่ยังถูกเกณฑ์ไปสู้รบในการทำสงครามเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ของเจ้าศักดินาอีกด้วย
ไพร่ติดที่ดินที่เป็นคนส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ภายใต้การกดขี่อย่างแสนสาหัส ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งระหว่างเจ้าศักดินากับไพร่จึงเป็นความขัดแย้งพื้นฐานในสังคมศักดินา
เมื่อชุมชน(commune)เติบโตขึ้นจนเป็นเมือง พวก
เสรีชน พ่อค้า และช่างฝีมือตามแขนงอาชีพ
ซึ่งเป็นหน่ออ่อนของชนชั้นนายทุนก็เติบใหญ่ขึ้น..ไปพร้อมๆกับการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยของเจ้าศักดินา
ในระยะแรกการผลิตสินค้าก็เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของชาวเมืองเท่านั้น และยังอยู่ใต้อำนาจของเจ้าศักดินา ชาวชุมชนยังต้องจ่ายภาษีค่าธรรมเนียมต่างๆให้
จากการที่ถูกเอารัดเอาเปรียบผลักดันให้ชาวเมืองมีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นบางชุมชนที่มีความเข้มแข็ง มั่งคั่ง มีความสามารถที่จะปกครองตนเอง อีกทั้งมีอำนาจ(ทางการเงิน)ในการต่อรองกับเจ้าศักดินา จึงรวบรวมเงินทองกันเพื่อซื้อ”อิสระ” หรือสิทธิ์ในการปกครองตนเองจากเจ้าศักดินาหรือกษัตริย์ และเพื่อยกเลิกการถูกเกณฑ์แรงงาน บางชุมชนก็ลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธอย่างที่มาร์กซได้กล่าวไว้ใน
แถลงการณ์ของพรรคคอมมิว นิสต์.........”เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของชนชั้นศักดินา
ชนชั้นนายทุนเป็นชนชั้นที่ถูกกดขี่ได้จัดตั้งองค์คณะที่ติดอาวุธและปกครองตนเองใน
คอมมูน(ชุมชน) บางแห่งได้จัดตั้งเป็นสาธารณรัฐนครที่เป็นอิสระและในบางแห่งได้ประกอบขึ้นเป็นฐานันดรที่
3 ที่เสียภาษีในรัฐราชาธิปไตย”( ฐานันดร คือการแบ่งฐานะทางชนชั้นในสังคมของระบอบศักดินายุโรป มีจุดประสงค์เพื่อจำแนกระดับในการเก็บภาษี การมีสิทธิต่างๆเช่นสิทธิทางการเมือง ฯลฯ ฐานันดรที่หนึ่งได้แก่พระ สองคือพวกขุนนาง สามได้แก่ประชาชนธรรมดาทั่วไปเช่นพ่อค้า
ชาวนา ช่างฝีมือ เป็นต้น) เมื่อได้สิทธิ์ในการปกครองตนเองก็มีการจัดกองกำลัง
ก่อสร้างกำแพง ป้อมค่าย ขึ้นเป็นที่มั่นของคนในชุมชน จัดหาอาวุธไว้สำหรับป้องกันเมืองและชาวเมืองจากการโจมตีของเจ้าศักดินาที่เกเรบางคนและโจรผู้ร้าย ชื่อของชุมชนเหล่านี้มักจะลงท้ายว่าบวร์ก (burg) หรือเบิร์ก(berg) บอร์ก(bourg) เบอเรอะ(borough) ซึ่งหมายถึงเมืองที่มีป้อมปราการ ยังใช้เป็นชื่อของเมืองต่างๆในยุโรปมาจนปัจจุบันนี้เช่นเมือง
(นูเร็มเบิร์ก เอ๊าสบวร์ก โวฟบวร์ก
ไฟร์บวร์ก ฮัมบวร์ก เฮลซิงบอร์ก
เอดินเบอเรอะ เป็นต้น)
ระบอบทุนนิยม
หน่ออ่อนของระบอบทุนนิยมได้ถูกเพาะขึ้นแล้วในปลายยุคสังคมศักดินา การพัฒนาการค้า หัตถกรรมทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากขึ้นอีก วิถีการผลิตแบบใหม่ที่เป็นแบบทุนนิยมค่อยๆก่อตัวขึ้น การพัฒนาของมันมีต้องการที่จะขจัดวิถีการผลิตแบบเดิม(ศักดินา) ชนชั้นนายทุนที่ปรากฏขึ้นเป็นผู้ที่สนับสนุนการผลิตระบบใหม่ย่อมต้องการแรงงาน
“อิสระ” คือแรงงานที่ไม่ใช่บ่าวไพร่ที่ต้องพึ่งพิงเจ้าศักดินาเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่เป็นแรงงานของคนยากจนที่ปราศจากทรัพย์สิน ผู้ที่อดอยากหิวโหยในสังคมเหล่านี้จึงถูกผลักเข้าสู่ระบบการผลิตแบบใหม่ เจ้าของโรงหัตถกรรมที่ร่ำรวยได้กลายฐานะไปเป็นนายทุน ต่างระดมเพิ่มปัจจัยในการผลิตขึ้นอย่างขนานใหญ่ได้เปลี่ยนโรงหัตถกรรมเล็กๆซึ่งผลิตได้อย่างจำกัดไปเป็นโรงงานอุตสาหกรรมโดยใช้เครื่องจักรในการผลิต อีกทั้งได้ยืดเวลาการทำทำงานของผู้ช่วยนายช่างและเด็กฝึกงานออกไปจนกลายเป็นกรรมกรรับจ้างในที่สุด สำหรับบรรดาพ่อค้า..เดิมทีก็เป็นแค่คนรับเอาสินค้าที่หัตถกรรมผลิตขึ้นมาเพื่อไปทำการแลกเปลี่ยนหรือขายเพื่อทำกำไร หรือไม่ก็เป็นผู้ช่วยเหลือขายผลผลิตส่วนเกินให้แก่เจ้าศักดินา ทำให้พ่อค้ามีเงินสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ประจวบกับการล่าอาณานิคมและการเดินเรือทำให้มีตลาดใหม่ๆเพิ่มขึ้น
ความต้องการสินค้าก็เพิ่มมากขึ้น การผลิตสินค้าก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ทางการผลิตของระบอบศักดินาย่อมไม่สอดคล้องกับพลังการผลิตที่เติบใหญ่ขึ้นอย่างมากมายซึ่งนับวันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น แต่ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบศักดินาซึ่งเป็นแหล่งรายได้ของเจ้าศักดินาและสมุนบริวารยังได้รับความคุ้มครองจากรัฐศักดินาอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีพลังทางสังคมชนิดหนึ่งที่ก้าวหน้ากว่ามาโค่นล้มระบอบศักดินาลงไป,ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่จึงจะสามารพัฒนาไปได้อย่างเต็มที่ และในปลายยุคศักดินานี้นายทุนพาณิชยกรรมได้กลายเป็นชนชั้นที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลในสังคม
บวกกับการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ถูกกดขี่ระลอกแล้วระลอกเล่าจึงเป็นเงื่อนไขที่เอื้อต่อการโค่นล้มระบอบเก่า เพื่อต่อต้านการกดขี่ขูดรีดของระบอบศักดินาชนชั้นนายทุนได้ระดมกำลังของชนชั้นต่างๆที่ไม่พอใจระบบศักดินาเช่น ชาวนา กรรมกร
ชนชั้นล่างในเมืองผู้อดอยากหิวโหย ต่ำต้อย และถูกกดขี่ รวมไปถึงปัญญาชน
นักเขียน เข้าร่วมในการโค่นล้มระบอบศักดินา
เป็นยุคเริ่มต้นของการปฏิวัติชนชั้นนายทุน(การปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศสปี
1789) เมื่อระบอบเก่าถูกโค่นลงไปแล้วความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ได้เข้ามาแทน
ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ของระบอบทุนนิยมนั้นขึ้นอยู่กับการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ดังนั้นจึงเป็นความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมกรซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นหลักในสังคม
(แน่นอนมีชนชั้นอื่นๆเป็นองค์ประกอบด้วย)
มันเป็นความสัมพันธ์ของการต่อสู้ทางชนชั้นที่ไม่สามารถปรองดองกันได้เพราะ “....สังคมชนชั้นนายทุนสมัยใหม่ซึ่งเกิดขึ้นจากการสูญสลายของสังคมศักดินาแต่หาได้ทำลายความเป็นปฏิปักษ์ทางชนชั้นลงไปไม่ มันเพียงแต่นำเอาชนชั้นใหม่
เงื่อนไขการกดขี่ใหม่และรูปแบบการต่อสู้ใหม่มาแทนที่อันเก่าเท่านั้น
(มาร์กซ...แถลงการณ์...)
ความสัมพันธ์แบบใหม่นี้ทำให้พลังการผลิตพัฒนาขยายตัวขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน การเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของสังคม แม้ชนชั้นนายทุนจะทำการโค่นล้มระ บอบศักดินาลงไปแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำลายการขูดรีดลงไป รูปแบบการขูดรีดก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากการขู่เข็ญบังคับมาเป็นการบีบคั้นทางเศรษฐกิจแทน นายทุนไม่ได้ใช้กำลังบังคับให้ทำงานแต่เป็นการจ้างงาน
ในขณะเดียวกันก็ใช้วิธีการที่แยบยลปล้นชิงเอาอุปกรณ์การผลิตไป การไร้อุปกรณ์การผลิตและความอดอยากและไม่มีงานทำ บีบบังคับให้พวกเขาต้องยอมทำงานให้นายทุนด้วยความ
“สมัครใจ” ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่นี้ได้ถูกซ่อนเร้นปิดบังด้วยการจ้างงานแทนการบัง คับ เป็นรูปแบบการกดขี่ที่ปราณีตขึ้นภายใต้เปลือกของประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน มาร์กซได้กล่าวไว้ในแถลงการณ์ว่า “.....กรรมกรสมัยใหม่จะดำรงชีพอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาหางานทำได้แล้วเท่านั้น
และพวกเขาจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อแรงงานของพวกเขาทำให้ทุนเพิ่มพูนขึ้น กรรมกรที่จำเป็น
ต้องเอาตัวเองไปขายทีละเล็กทีละน้อยเหล่านี้
ก็เป็นสินค้าชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับสิ่ง ของที่เป็นสินค้าอื่นๆ...” นั่นคือในสังคมทุนนิยม แรงงานของมนุษย์ได้กลายเป็นสินค้าที่ซิ้อขายได้เหมือนสิน
ค้าอื่นๆทั่วไป แต่แรงงานมนุษย์นั้นเป็นสินค้าพิเศษ
เมื่อถูกซื่อไปแล้วไม่ได้มีมูลค่าเพียงค่าจ้างที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้น ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
มาร์กซและเองเกลส์ได้ใช้วัตถุนิยมวิภาษไปค้นคว้าสังคม ประวัติศาสตร์
ได้พบว่าการเปลี่ยนผ่านจากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่งที่มีระดับสูงขึ้นนั้นเกิดจากการสะสมปริมาณความขัดแย้งของความสัมพันธ์ทางทางการผลิตและพลังการผลิต จนพัฒนาไปเป็นความขัดแย้งทางชนชั้น วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ เห็นว่า
- สังคมพัฒนาไปตามภววิสัย ไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะความปรารถนาของมนุษย์
- ประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือการต่อสู้ทางชนชั้น
- การต่อสู้ทางชนชั้นเป็นแรงผลักดันให้สังคมพัฒนา
- การปฏิวัติคือขั้นตอนสูงสุดของการต่อสู้ทางชนชั้น
No comments:
Post a Comment