Friday, February 20, 2015

องค์ประกอบที่ 2 วัตถุนิยมประวัติศาสตร์

ก่อนจะกล่าวถึงวัตถุนิยม ปวศ.  ใคร่ขอทำความเข้าใจต่อคำบางคำที่ใช้ในเรื่องนี้ก่อนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันได้แก่   

1   ปัจจัยการผลิต(means of production)...หมายถึง เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ  ที่ดิน  วัตถุดิบ  เทคโน โลยี  ความรู้ความชำนาญ  ความสามารถในการผลิต   และการกระจายผลผลิต (ซื้อขายแลกเปลี่ยนและบริการ) 

2   พลังการผลิต(force of production)...หมายถึง (ปัจจัยการผลิต + แรงงาน)

3   ความสัมพันธ์ทางการผลิต (relation of production).....หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนเช่นในระบบการผลิตในระบอบทุนนิยมคือความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้าง+กรรมกร  และการแบ่งปันผลผลิต

4   รูปแบบการผลิต(mode of production)...หมายถึงวิถีการผลิตที่เป็นลักษณะพิเศษของสังคม   อาจกล่าวได้ว่าเป็นการจัดระบบการผลิตในสังคมหนึ่งๆ,การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีชนิดใดในการผลิต   เช่นในสังคมทุนนิยมรูปแบบการผลิตจะมีลักษณะที่บุคคลเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต  โดยใช้เครื่องจักร  มีเป้าประสงค์ในการสะสมทุนโดยขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากค่าจ้างแรงงาน      

วัตถุนิยมประวัติศาสตร์คืออะไร?

ต่อปัญหาที่ว่า...อะไรเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นไปของระบอบสังคม    หรือสังคมมนุษย์มีพัฒนาการมาอย่างไร?   เรื่องเช่นนี้มนุษย์มีความสนใจใคร่รู้มานานมากแล้ว     เพราะมันกระทบต่อชีวิตและผลประ โยชน์ของมนุษย์ในทุกหนทุกแห่งและเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก      สังคมมนุษย์มีความสลับซับซ้อนกว่าพัฒนาการของธรรมชาติซึ่งปรากฏการณ์ของมันมักจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก   มีความเรียบง่ายและสม่ำ เสมอจึงไม่ยากที่จะทำความเข้าใจ        สังคมมนุษย์มิได้เกิดขึ้นมาโดยความบังเอิญ   ดังนั้นวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ก็คือการศึกษาสังคม เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ซึ่งก็คือการต่อสู้ทางชน ชั้น    สามารถกล่าวได้ว่ามาร์กซเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่นำเอาระบบคิดของปรัชญาวัตถุนิยมมาใช้ในการศึกษาค้นคว้า     เป็นการพัฒนาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์สังคมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น    เป็นการเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุเป็นสาเหตุเบื้องต้นที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ได้ค้นคว้าถึงสาเหตุของการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์   ว่าด้วย การร่วมมือกันผลิตสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต,ชนชั้นในสังคมและความสัมพันธ์ของมันรวมไปถึงโครง สร้างทางการเมืองและวิธีคิด(อุดมการณ์)ของสังคมที่สะท้อนจากการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจขั้นพื้น ฐานซึ่งก็คือการผลิตนั่นเอง     สำหรับนักวัตถุนิยม...มาร์กซได้กล่าวไว้ว่า  ”กรอบความคิดของนักวัตถุ นิยมที่มีต่อประวัติศาสตร์เริ่มต้นที่เรื่องราวของมนุษย์ผู้ทำการผลิตเพื่อการดำรงชีพของตน     ถัดจากนั้นก็คือการผลิตเพื่อการแลกเปลี่ยนผลิตผลที่ผลิตขึ้นมา     ถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคมที่ได้ปรากฏในทุกๆสังคมตลอดระยะประวัติศาสตร์,    เป็นการกระจายความมั่งคั่งและเกิดการแบ่งชนชั้นขึ้นในสังคม  มีการจัดระเบียบทางสังคมอย่างเป็นเอกเทศในแต่ละสังคม ...ขึ้นอยู่กับการผลิตชนิดใด,ทำไมถึงต้องผลิต,และทำไมจึงต้องมีการแลกเปลี่ยนผลผลิตกัน   จากกระบวนการเช่นนี้จึงเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองโดยในท้ายที่สุด....   มีการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงด้วยการปฏิวัติซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต(Mode of production)...”

วัตถุนิยมปวศ.เริ่มต้นจาก เรื่องที่เป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติเพื่อความอยู่รอดและสืบสานเผ่าพันธุ์จากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันนี้   มันมีความจำเป็นที่จะต้องทำการผลิตและผลิตซ้ำเพื่อสนองต่อความต้องการพื้นฐานทางวัตถุที่มีความจำเป็นต่อชีวิต     มาร์กซยังได้ขยายความต่อไปถึงหลักฐานที่ยืนยันถึงความจริงว่า     เพื่อที่จะดำเนินการผลิตและการแลกเปลี่ยนมนุษย์จำต้องเข้าไปมีความสัมพันธ์  กันทางสังคม..โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์พื้นฐานที่สำคัญที่สุดได้แก่ "ความสัมพันธ์ทางการผลิต"

ตั้งแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ได้แยกตัวออกจากสัตว์       กระทั่งมนุษย์สายพันธุ์หนึ่งสามารถปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้,ใช้เวลาวิวัฒนาการมากระทั่งยืนตัวตรงด้วยขาหลัง   ส่วนขาหน้าที่เคยใช้เดิน ปีนป่าย  ก็พัฒนากลายเป็นมือ    มีการใช้ภาษาโดยเฉพาะภาษากายที่ใช้สื่อสารกันเช่น    การทำท่าทางโดยใช้อวัยวะต่างๆ    และพัฒนามาเป็นการเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารกันส่วนใหญ่จะเป็นคำพยางค์เดียวเนื่องจากกล่องเสียงยังพัฒนาไม่สมบูรณ์(สังเกตได้จากเด็กทารก)      มีความเฉลียวฉลาดและเรียนรู้เข้าใจธรรมชาติได้บ้าง     สร้างเครื่องมือหยาบๆจากหิน ไม้  และวัสดุธรรมชาติ  รู้จักใช้ไฟในการดำเนินชีวิต  เมื่อมีมนุษย์สังคมมนุษย์ก็ถือกำเนิดขึ้น,สังคมขั้นนี้ถือว่าเป็นสังคมขั้นต่ำสุดที่มาร์กซและเองเกลส์ เรียกว่า  สังคมบรรพกาล    มีการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นกลุ่ม ๆ..ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆพึ่งพากัน...อาศัยแรงงานของกันและกันเพื่อหาอาหารประทังชีวิต   เช่นการล่าสัตว์   ร่วมกันปกป้องอันตรายจากสัตว์ร้าย   ต่อสู้กับศัตรูเพื่อความอยู่รอดของสมาชิกในกลุ่ม   การพึ่งพากันนี้ทำให้เกิดความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งขึ้นคือการใช้แรงงานร่วมกัน     สังคมยุคนี้มีลักษณะครอบครัว..สมาชิกจะมีสายเลือดเดียวกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่า.บิดามารดา  หนุ่มสาวไปจนถึงเด็กทารก    สังคมนี้ไม่มีรัฐ  ไม่มีชนชั้น   ไม่มีระบบกรรมสิทธิ์   นอกจากของใช้ส่วนตัวเช่นอาวุธ,เครื่องนุ่งห่มเป็นต้น 

ปัจจัยการผลิตเป็นกรรมสิทธิ์ของส่วนรวมเช่นที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย  และฝูงสัตว์เลี้ยง    ในชั้นนี้ความ สัมพันธ์ทางการผลิตยังสอดคล้องกับพลังการผลิตอยู่   เนื่องจากพลังการผลิตยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก   ผลผลิตที่ได้จากการใช้แรงงานร่วมกันนอกจากจะใช้บริโภคแล้วก็ไม่เหลืออะไร     หากมีใครสักคนได้ส่วนแบ่งมากกว่าผู้อื่นสมาชิกอื่นๆก็จะได้ส่วนแบ่งน้อยลงหรือบางคนไม่ได้เลย     เมื่อความสัมพันธ์และการใช้แรงงานขยายตัวออกไปและเข้มแข็งขึ้น     ทำให้ครอบครัว(family)พัฒนาขึ้นเป็น กลุ่มตระกูล(clan) และเผ่าพงศ์(tribes)ตามลำดับ   ถือว่าเป็นการจัดตั้งทางสังคมครั้งแรกสุดของมนุษย์     สังคมบรรพกาลนี้ดำรงอยู่หลายแสนปีจึงค่อยๆสลายตัวไป   ทางหนึ่งเนื่องมาจากมีการขยายตัวของเผ่าพันธ์มนุษย์เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ทางการผลิตเริ่มไม่สอดคล้องกับพลังการผลิตที่ขยายตัวเติบโตขึ้น   ประ   กอบกับมีการพัฒนาเครื่องมือการผลิตดีขึ้น    คนจำนวนน้อยก็สามารถทำการผลิตได้...การใช้แรงงานร่วมกันค่อยๆหมดความจำเป็นลงไปอีกทั้งยังเป็นสิ่งขัดขวางประสิทธิภาพในการผลิตอีกด้วย    ในชุมชนที่มีการผลิตสิ่งที่เหมือนกันก็ไม่มีความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนผลผลิตกัน     แต่ในชุมชนที่มีการผลิตไม่เหมือนกันการแลกเปลี่ยนก็ยังมีความจำเป็นอยู่       เนื่องจากบางชุมชนถนัดในการทำเกษตรกรรม   บางชุมชนหรือบางเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตร กรรม    ก็กลายเป็นพวกเลี้ยงปศุสัตว์เร่ร่อนไป ทำให้การเกษตรกรรมแยกออกจากการเลี้ยงสัตว์  ปรากฎการณ์เช่นนี้เป็นการแบ่งงานครั้งใหญ่ในสังคมมนุษย์

การเกิดขึ้นและล่มสลายของสังคมทาส

การแบ่งงานกันเช่นนี้จึงมีความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนผลผลิต  โดยผ่านหัวหน้าตระกูลหรือหัวหน้าเผ่าซึ่งมีอำนาจในการควบคุมผลผลิตในชนเผ่าของตน      ครั้นนานไปก็ค่อยๆแปลงผลผลิตเหล่านี้ให้กลาย เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว      อีกทั้งมีการแยกครอบครัวออกไปทำให้เกิดชุมชนใหม่ที่ประกอบด้วยสมาชิกที่ไม่ได้มาจากสายเลือดเดียวกัน   แต่ละครอบครัวกลายเป็นหน่วยผลิตที่ทำการผลิตอย่างอิสระบางครอบ  ครัวถนัดการทำเกษตรกรรม  บางครอบครัวถนัดการทอผ้า....ตีเหล็ก....ปั้นถ้วยชามและการทำหัตกรรม  อื่นๆ    การถือครองกรรมสิทธิ์จึงได้ถือกำเนิดขึ้น      ครอบครัวใหญ่ที่มั่งคั่งก็ใช้ความมั่งคั่งของตนรวมศูนย์ปัจจัยการผลิต   ทำการให้เช่า  ให้กู้ยืมฯลฯ  ทำให้ความแตกต่างกันทางด้านทรัพย์สินยิ่งห่างกันออกไปอีก     คนที่ยากจนไม่สามารถใช้หนี้ได้ก็ขายตัวเป็นทาสรับใช้      ตระกูลใหญ่ที่มีทั้งความมั่งคั่ง   มีอำนาจ  มีสมาชิกมากก็ได้ตั้งตัวเป็นชนชั้นปกครองในเขตครอบครองของตน     สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาควบคุมสมาชิกจึงเป็นหน่ออ่อนของการกำเนิด “รัฐ”  และขยายเขตอิทธิพลของตนออกไปด้วยการสู้รบกับชนเผ่าอื่นๆเพื่อช่วงชิงดินแดนที่อุดมสมบูรณ์  ทรัพย์สมบัติ  สัตว์เลี้ยง  ตลอดจนเกณฑ์ผู้คนของฝ่ายศัตรูที่พ่ายแพ้มาเป็นของตน,ใช้แรงงานแทนคนของตน “รัฐทาส” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นและมีหน้าที่ปกป้อง  ทรัพย์สินของเจ้าทาส 

เงื่อนไขสำคัญสองประการที่ทำให้เกิดรัฐทาสคือ       การใช้แรงงานในการผลิตได้ยกระดับขึ้นจนถึงขั้นที่ไม่ใช่การผลิตเพื่อสนองความต้องการโดยเฉพาะตัวตนและครอบครัวแล้ว    หากยังสามารถสนองต่อความต้องการของผู้อื่นในสังคมได้อีกด้วย       และการพัฒนาของระบอบกรรมสิทธิ์ได้แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างความ “มี”และ”ไม่มี” ที่แน่นอนระดับหนึ่ง   มันได้สร้างความแตกต่างให้แก่สังคมอย่างชัดแจ้ง      การใช้แรงงานในการผลิตเป็นหน้าที่ของทาส....ส่วนผลผลิตทั้งมวลได้กลายเป็นของครอบครัวที่มั่งคั่งของ”เจ้าทาส”     ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางการผลิตระบอบทาสขึ้นมาแทนระบอบ กรรมสิทธิ์ส่วนรวมของสังคมบรรพกาล    ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาพลังการผลิตของสังคมบรรพกาลนั่น เอง   เราจะเห็นได้ว่าระบอบกรรมสิทธิ์ทำให้เกิดการกดขี่  ซึ่งนำไปสู่การแบ่งชนชั้นในสังคมคือชนชั้นที่กดขี่และชนชั้นที่ถูกกดขี่       รากฐานของความสัมพันธ์ทางการผลิตก็คือนายทาสจะเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตอีกทั้งยังครอบครองทาสซึ่งเป็นผู้ผลิตอีกด้วย   ภายใต้การกดขี่บีบคั้นและการใช้แรงงานที่หนักหน่วงทำให้ทาสจำนวนมากต้องล้มตายไปตั้งแต่วัยหนุ่มสาวทำให้พลังการผลิตถูกทำลายลงเป็นอันมาก       การแสวงหาทาสมาก็คือการทำสงครามเพื่อจะได้ทาสเชลยมาทดแทนจำนวนที่ต้องสูญเสียไป   เหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์คือการลุกขึ้นสู้ของบรรดาทาสผู้ถูกกดขี่ที่นำโดยสปาร์ตาคัส เมื่อราว2000 ปีมาแล้ว     ผลที่ตามมาก็คือเกิดการลุกขึ้นสู้ของทาสขึ้นในทุกหนทุกแห่งทำให้รากฐานของรัฐทาสถูกบั่นทอนลง

ในช่วงปลายของสังคมทาส ราคาทาสได้ขยับขึ้นสูงมากขึ้นทำให้ขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง   เจ้าทาสไม่สามารถหาแรงงานทาสมาใช้ในการผลิตบนที่ดินผืนมหึมาของตนได้   เพราะความสัมพันธ์ทาง การผลิตไม่สอดคล้องกับพลังการผลิตของสังคมที่ขยายตัวเติบใหญ่ขึ้น   ความต้องการที่จะปลดปล่อยพลังการผลิตจากความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบเก่า   เจ้าทาสจำต้องแบ่งที่ดินของตนออกเป็นผืนเล็กๆ เพื่อให้คนจนที่ล้มละลาย,ทาสที่ถูกปลดปล่อยเช่าทำการผลิต     คนเหล่านี้ไม่ใช่ทาสแต่ก็ยังไม่ใช่เสรีชนแต่เป็น “ชาวนามีสังกัด” เป็นผู้เช่าที่ดินและทำการผลิตแบบเอกเทศ..แต่ยังคงภาระในการใช้แรงงานกับเจ้าที่ดินซึ่งก็คือเจ้าทาสเดิมอยู่       ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ระหว่างเจ้าที่ดินกับไพร่ได้เริ่มเกิดขึ้นแทนที่ความสัมพันธ์ในการผลิตแบบเดิม สังคมทาสที่ดำรงมานานก็ถึงคราวที่ต้องล่มสลายลง

สังคมศักดินา

ดังที่กล่าวมาแล้วว่าในยุคปลายของสังคมทาสได้เกิดความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ขึ้น   เป็นช่วงที่ผู้นำทางการทหารของชนเผ่าต่างๆได้เข้าช่วงชิงยึดครองที่ดินไว้ในอาณัติของตนเป็นจำนวนมาก เจ้าศัก ดินาที่เข้มแข็งก็ตั้งตัวเป็นกษัตริย์และสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้น    มีกองทหาร   เก็บภาษี   ปล้นชิง  รุกรานเขตใกล้เคียงเพื่อขยายดินแดน   กษัตริย์ได้มอบที่ดินพร้อมทั้งประชาชนที่อาศัยในที่ดินนั้นให้แก่  ทายาท   เครือญาติ   ขุนศึกผู้รับใช้ใกล้ชิดเอาไปถือครองเพื่อแลกกับความภักดีและช่วยเหลือในยามที่เกิดสงคราม    คนพวกนี้คือเจ้าศักดินา(feudal lord) ซึ่งเป็นเสมือนข้าราชบริพาร(vassel) ของกษัตริย์ เจ้าศักดินา(feudal lord) ก็จะแบ่งที่ดินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อทำการผลิตโดยใช้แรงงานของประชาชนผู้อยู่ติดที่ดิน     ส่วนที่เหลือก็จะแบ่งให้ลูกน้อบริวารงของตนอีกต่อหนึ่ง (คำว่า feudal มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือ feudum หมายถึงที่ดิน     ซึ่งคนรับที่ดินมาจากเจ้านาย(lord)จะต้องให้ความภักดีและรับใช้เจ้านายเพื่อตอบแทนที่ได้สิทธิ์ในที่ดินนั้น     ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการแสวงหาความคุ้มครองจากเจ้าศักดินา)    สายสัมพันธ์ของสังคมในระดับต่างๆจะอยู่บนพื้นฐานของการคุ้มครองและแบ่งปัน ผลประโยชน์ซึ่งกันและกันโดยยึดถือเอาที่ดินเป็นปัจจัยสำคัญ     แต่ในความเป็นจริงแล้วจะเอื้อประ โยชน์ให้แก่ชนชั้นเจ้าที่ดินศักดินามากกว่า     

สำหรับประชาชนซึ่งเป็นไพร่ติดที่ดิน(serf)นั้นนอกจากจะไม่ได้รับประโยชน์จากสายสัมพันธ์ดังกล่าวแล้วยังมีชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้นและถูกขูดรีดแรงงานอย่างหนักหน่วงอีกด้วย    การผลิตในที่ดินของเจ้าศักดินานั้นอาศัยเครื่องมือการผลิตของไพร่ไปทำการผลิต     การที่เจ้าศักดินาแบ่งที่ดินให้แก่ไพร่ติดที่ดินหรือให้เช่าเพื่อทำการผลิตนั้นก็เพื่อผูกมัดไพร่ที่มีปัจจัยการผลิตอยู่บ้างให้อยู่ติดที่ดินเพื่อสะดวกในการอาศัยแรงงานในการผลิตและสะดวกในการขูดรีด      ภายใต้ระบอบศักดินาเจ้าศักดินาใช้รูปแบบของค่าเช่ามาฉกฉวยผลประโยชน์จากการใช้แรงงานของไพร่ไปอย่างแยบยล     ไพร่นอกจากจะใช้แรงงานเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวแล้ว    ยังต้องใช้แรงงานส่วนเกินให้แก่เจ้าศักดินาอีกด้วย  ผลผลิตที่ได้จากแรงงานส่วนนี้คือการจ่ายค่าเช่าที่ดินให้แก่เจ้าศักดินานั่นเอง     นอกจากจะจ่ายค่าเช่าเป็นผลผลิตแล้วรูปแบบค่าเช่าที่ต้องจ่ายให้ให้แก่เจ้าศักดินายังมาจาก.....การเกณฑ์แรงงาน...และเก็บเป็นตัวเงิน   การปกครองแบบศักดินาจึงเป็นองค์กรปกครองที่ใช้อำนาจต่อผู้ใต้ปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ ใช้ที่ดินเป็นเครื่องกำหนดฐานะและสิทธิ์ต่างๆของบุคคล  ครอบคลุมไปทั้งด้านการปกครอง การทหาร  และเศรษฐกิจ   เป็นระบบที่ควบคุมชีวิตของประชาชนตั้งแต่เกิดจนตายในสังคมศักดินา...  

กษัตริย์คือเจ้าศักดินาสูงสุดเป็นผู้ถือครองที่ดินทั่วทั้งอาณาจักร    ชนชั้นศักดินาและชนชั้นไพร่ถือว่าเป็นชนชั้นหลักในสังคมที่มีความขัดแย้งกันในด้านผลประโยชน์    นอกจากสองชนชั้นนี้แล้วยังประกอบไปด้วยเสรีชน พ่อค้า และช่างฝีมืออีกด้วย     แต่ชนชั้นเหล่านี้ยังไม่เติบใหญ่พอจึงยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองและพึ่งพาการคุ้มครองของเจ้าศักดินาเพื่อความอยู่รอดของตน       ดังนั้นพื้นฐานทางเศรษฐ กิจของสังคมศักดินาจึงเป็นเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ     ชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าศักดินาและสมุนบริวารล้วนอาศัยผลผลิตจากที่ดินซึ่งเกิดจากแรงงานของไพร่      การสร้างถาวรวัตถุต่างๆเช่น การสร้างถนน  ขุดคูคลอง  ก่อสร้างปราสาท  ป้อมปราการฯลฯ  ก็ล้วนแต่อาศัยแรงงานไพร่ทั้งสิ้น  เท่า นั้นยังไม่พอ  ไพร่ยังถูกเกณฑ์ไปสู้รบในการทำสงครามเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ของเจ้าศักดินาอีกด้วย ไพร่ติดที่ดินที่เป็นคนส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ภายใต้การกดขี่อย่างแสนสาหัส     ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งระหว่างเจ้าศักดินากับไพร่จึงเป็นความขัดแย้งพื้นฐานในสังคมศักดินา

เมื่อชุมชน(commune)เติบโตขึ้นจนเป็นเมือง พวก  เสรีชน  พ่อค้า และช่างฝีมือตามแขนงอาชีพ ซึ่งเป็นหน่ออ่อนของชนชั้นนายทุนก็เติบใหญ่ขึ้น..ไปพร้อมๆกับการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยของเจ้าศักดินา ในระยะแรกการผลิตสินค้าก็เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของชาวเมืองเท่านั้น     และยังอยู่ใต้อำนาจของเจ้าศักดินา   ชาวชุมชนยังต้องจ่ายภาษีค่าธรรมเนียมต่างๆให้      จากการที่ถูกเอารัดเอาเปรียบผลักดันให้ชาวเมืองมีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นบางชุมชนที่มีความเข้มแข็ง  มั่งคั่ง มีความสามารถที่จะปกครองตนเอง   อีกทั้งมีอำนาจ(ทางการเงิน)ในการต่อรองกับเจ้าศักดินา  จึงรวบรวมเงินทองกันเพื่อซื้อ”อิสระ” หรือสิทธิ์ในการปกครองตนเองจากเจ้าศักดินาหรือกษัตริย์  และเพื่อยกเลิกการถูกเกณฑ์แรงงาน   บางชุมชนก็ลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธอย่างที่มาร์กซได้กล่าวไว้ใน แถลงการณ์ของพรรคคอมมิว นิสต์.........”เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของชนชั้นศักดินา   ชนชั้นนายทุนเป็นชนชั้นที่ถูกกดขี่ได้จัดตั้งองค์คณะที่ติดอาวุธและปกครองตนเองใน คอมมูน(ชุมชน)   บางแห่งได้จัดตั้งเป็นสาธารณรัฐนครที่เป็นอิสระและในบางแห่งได้ประกอบขึ้นเป็นฐานันดรที่ 3 ที่เสียภาษีในรัฐราชาธิปไตย”( ฐานันดร  คือการแบ่งฐานะทางชนชั้นในสังคมของระบอบศักดินายุโรป     มีจุดประสงค์เพื่อจำแนกระดับในการเก็บภาษี  การมีสิทธิต่างๆเช่นสิทธิทางการเมือง ฯลฯ ฐานันดรที่หนึ่งได้แก่พระ   สองคือพวกขุนนาง   สามได้แก่ประชาชนธรรมดาทั่วไปเช่นพ่อค้า ชาวนา ช่างฝีมือ เป็นต้น)    เมื่อได้สิทธิ์ในการปกครองตนเองก็มีการจัดกองกำลัง  ก่อสร้างกำแพง ป้อมค่าย ขึ้นเป็นที่มั่นของคนในชุมชน        จัดหาอาวุธไว้สำหรับป้องกันเมืองและชาวเมืองจากการโจมตีของเจ้าศักดินาที่เกเรบางคนและโจรผู้ร้าย      ชื่อของชุมชนเหล่านี้มักจะลงท้ายว่าบวร์ก (burg) หรือเบิร์ก(berg)  บอร์ก(bourg) เบอเรอะ(borough)    ซึ่งหมายถึงเมืองที่มีป้อมปราการ  ยังใช้เป็นชื่อของเมืองต่างๆในยุโรปมาจนปัจจุบันนี้เช่นเมือง (นูเร็มเบิร์ก  เอ๊าสบวร์ก  โวฟบวร์ก  ไฟร์บวร์ก   ฮัมบวร์ก  เฮลซิงบอร์ก  เอดินเบอเรอะ  เป็นต้น)

ระบอบทุนนิยม

หน่ออ่อนของระบอบทุนนิยมได้ถูกเพาะขึ้นแล้วในปลายยุคสังคมศักดินา  การพัฒนาการค้า หัตถกรรมทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากขึ้นอีก    วิถีการผลิตแบบใหม่ที่เป็นแบบทุนนิยมค่อยๆก่อตัวขึ้น    การพัฒนาของมันมีต้องการที่จะขจัดวิถีการผลิตแบบเดิม(ศักดินา)      ชนชั้นนายทุนที่ปรากฏขึ้นเป็นผู้ที่สนับสนุนการผลิตระบบใหม่ย่อมต้องการแรงงาน “อิสระ” คือแรงงานที่ไม่ใช่บ่าวไพร่ที่ต้องพึ่งพิงเจ้าศักดินาเหมือนเช่นแต่ก่อน   แต่เป็นแรงงานของคนยากจนที่ปราศจากทรัพย์สิน ผู้ที่อดอยากหิวโหยในสังคมเหล่านี้จึงถูกผลักเข้าสู่ระบบการผลิตแบบใหม่       เจ้าของโรงหัตถกรรมที่ร่ำรวยได้กลายฐานะไปเป็นนายทุน     ต่างระดมเพิ่มปัจจัยในการผลิตขึ้นอย่างขนานใหญ่ได้เปลี่ยนโรงหัตถกรรมเล็กๆซึ่งผลิตได้อย่างจำกัดไปเป็นโรงงานอุตสาหกรรมโดยใช้เครื่องจักรในการผลิต     อีกทั้งได้ยืดเวลาการทำทำงานของผู้ช่วยนายช่างและเด็กฝึกงานออกไปจนกลายเป็นกรรมกรรับจ้างในที่สุด      สำหรับบรรดาพ่อค้า..เดิมทีก็เป็นแค่คนรับเอาสินค้าที่หัตถกรรมผลิตขึ้นมาเพื่อไปทำการแลกเปลี่ยนหรือขายเพื่อทำกำไร      หรือไม่ก็เป็นผู้ช่วยเหลือขายผลผลิตส่วนเกินให้แก่เจ้าศักดินา   ทำให้พ่อค้ามีเงินสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก     ประจวบกับการล่าอาณานิคมและการเดินเรือทำให้มีตลาดใหม่ๆเพิ่มขึ้น   ความต้องการสินค้าก็เพิ่มมากขึ้น  การผลิตสินค้าก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด   เมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ทางการผลิตของระบอบศักดินาย่อมไม่สอดคล้องกับพลังการผลิตที่เติบใหญ่ขึ้นอย่างมากมายซึ่งนับวันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น     แต่ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบศักดินาซึ่งเป็นแหล่งรายได้ของเจ้าศักดินาและสมุนบริวารยังได้รับความคุ้มครองจากรัฐศักดินาอยู่        ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีพลังทางสังคมชนิดหนึ่งที่ก้าวหน้ากว่ามาโค่นล้มระบอบศักดินาลงไป,ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่จึงจะสามารพัฒนาไปได้อย่างเต็มที่         และในปลายยุคศักดินานี้นายทุนพาณิชยกรรมได้กลายเป็นชนชั้นที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลในสังคม     บวกกับการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ถูกกดขี่ระลอกแล้วระลอกเล่าจึงเป็นเงื่อนไขที่เอื้อต่อการโค่นล้มระบอบเก่า    เพื่อต่อต้านการกดขี่ขูดรีดของระบอบศักดินาชนชั้นนายทุนได้ระดมกำลังของชนชั้นต่างๆที่ไม่พอใจระบบศักดินาเช่น  ชาวนา กรรมกร  ชนชั้นล่างในเมืองผู้อดอยากหิวโหย ต่ำต้อย และถูกกดขี่ รวมไปถึงปัญญาชน นักเขียน เข้าร่วมในการโค่นล้มระบอบศักดินา   เป็นยุคเริ่มต้นของการปฏิวัติชนชั้นนายทุน(การปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศสปี 1789)     เมื่อระบอบเก่าถูกโค่นลงไปแล้วความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ได้เข้ามาแทน

ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่ของระบอบทุนนิยมนั้นขึ้นอยู่กับการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์      ดังนั้นจึงเป็นความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมกรซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นหลักในสังคม (แน่นอนมีชนชั้นอื่นๆเป็นองค์ประกอบด้วย)   มันเป็นความสัมพันธ์ของการต่อสู้ทางชนชั้นที่ไม่สามารถปรองดองกันได้เพราะ   “....สังคมชนชั้นนายทุนสมัยใหม่ซึ่งเกิดขึ้นจากการสูญสลายของสังคมศักดินาแต่หาได้ทำลายความเป็นปฏิปักษ์ทางชนชั้นลงไปไม่   มันเพียงแต่นำเอาชนชั้นใหม่   เงื่อนไขการกดขี่ใหม่และรูปแบบการต่อสู้ใหม่มาแทนที่อันเก่าเท่านั้น 
(มาร์กซ...แถลงการณ์...)   

ความสัมพันธ์แบบใหม่นี้ทำให้พลังการผลิตพัฒนาขยายตัวขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน   การเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของสังคม      แม้ชนชั้นนายทุนจะทำการโค่นล้มระ บอบศักดินาลงไปแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำลายการขูดรีดลงไป  รูปแบบการขูดรีดก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม   จากการขู่เข็ญบังคับมาเป็นการบีบคั้นทางเศรษฐกิจแทน     นายทุนไม่ได้ใช้กำลังบังคับให้ทำงานแต่เป็นการจ้างงาน   ในขณะเดียวกันก็ใช้วิธีการที่แยบยลปล้นชิงเอาอุปกรณ์การผลิตไป     การไร้อุปกรณ์การผลิตและความอดอยากและไม่มีงานทำ  บีบบังคับให้พวกเขาต้องยอมทำงานให้นายทุนด้วยความ “สมัครใจ”     ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใหม่นี้ได้ถูกซ่อนเร้นปิดบังด้วยการจ้างงานแทนการบัง คับ    เป็นรูปแบบการกดขี่ที่ปราณีตขึ้นภายใต้เปลือกของประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน   มาร์กซได้กล่าวไว้ในแถลงการณ์ว่า  “.....กรรมกรสมัยใหม่จะดำรงชีพอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาหางานทำได้แล้วเท่านั้น และพวกเขาจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อแรงงานของพวกเขาทำให้ทุนเพิ่มพูนขึ้น    กรรมกรที่จำเป็น ต้องเอาตัวเองไปขายทีละเล็กทีละน้อยเหล่านี้   ก็เป็นสินค้าชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับสิ่ง ของที่เป็นสินค้าอื่นๆ...”    นั่นคือในสังคมทุนนิยม  แรงงานของมนุษย์ได้กลายเป็นสินค้าที่ซิ้อขายได้เหมือนสิน ค้าอื่นๆทั่วไป      แต่แรงงานมนุษย์นั้นเป็นสินค้าพิเศษ  เมื่อถูกซื่อไปแล้วไม่ได้มีมูลค่าเพียงค่าจ้างที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้น  ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกมากมาย  

มาร์กซและเองเกลส์ได้ใช้วัตถุนิยมวิภาษไปค้นคว้าสังคม  ประวัติศาสตร์  ได้พบว่าการเปลี่ยนผ่านจากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่งที่มีระดับสูงขึ้นนั้นเกิดจากการสะสมปริมาณความขัดแย้งของความสัมพันธ์ทางทางการผลิตและพลังการผลิต  จนพัฒนาไปเป็นความขัดแย้งทางชนชั้น    วัตถุนิยมประวัติศาสตร์  เห็นว่า
-  สังคมพัฒนาไปตามภววิสัย ไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะความปรารถนาของมนุษย์
-  ประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือการต่อสู้ทางชนชั้น
-  การต่อสู้ทางชนชั้นเป็นแรงผลักดันให้สังคมพัฒนา
-  การปฏิวัติคือขั้นตอนสูงสุดของการต่อสู้ทางชนชั้น





  

No comments:

Post a Comment