Friday, February 20, 2015

วัตถุนิยมวิภาษ

ลัทธิมาร์กซคืออะไร?

ลัทธิมาร์กซ,หรือลัทธิสังคมนิยมวิทยาศาสตร์เป็นชื่อเรียกองค์ความคิดที่คิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดย   คาร์ล มาร์กซ (1818-1883) และฟรีดริก เองเกลส์(1820-1895)  ในส่วนทั้งหมดของมัน,ความคิดเหล่านี้ได้ตระเตรียมพื้นฐานทั้งมวลสำหรับการต่อสู้ของชนชั้นกรรมกร   เพื่อให้ได้มาซึ่งรูปแบบที่มีระดับสูงขึ้นไปอีกของสังคมมนุษย์ ...นั่นคือระบอบสังคมนิยม

แนวความคิดของลัทธิมาร์กซ์ได้รับการพัฒนาในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา   และด้วยการผสานประสบ การณ์ทางประวัติศาสตร์ของชนชั้นกรรมกรเอง,   แนวคิดพื้นฐานของมันไม่เคยสั่นไหวคลอนแคลน   และยังเป็นรากฐานที่มั่นคงในการเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน    ไม่ว่าก่อนหน้านี้,หรือตั้งแต่สมัยที่มาร์กซและเองเกลส์ยังมีชีวิตอยู่    ยังไม่เคยมีทฤษฎีวิทยาศาสตร์ใดๆที่สามารถอธิบายสัจธรรมของการเคลื่อนไหวพัฒนาของสังคมและบทบาทของชนชั้นกรรมกรได้ลึกซึ้งกว่า     ดังนั้นความรู้ของลัทธิมาร์กซจึงเป็นเครื่องมือทางทฤษฎีสำหรับชนชั้นกรรมาชีพในการดำเนินภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงสังคม

คำอธิบายที่เป็นสัจธรรมซึ่งเป็นทัศนะคติทั้งหมดของลัทธิมาร์กซได้ถูกให้ร้ายโจมตีมาอย่างต่อเนื่องรุนแรง    และถูกส่งต่อๆกันมาโดยพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแก้ต่างให้แก่ระบบสังคมที่ดำรงอยู่นี้.....จากนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมไปจนถึงพวกเสรีนิยม  จากพวกพระเยซูอิตไปจนถึงพวกศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย        การโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด,จริงจัง ที่พวกเขาได้กระทำกันมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่  ยอมคำนึงถึงความถูกต้อง       ซึ่งพอจะอนุมานได้สองประการคือ   ประการแรก...บรรดาพวกที่แก้ต่างให้แก่ระบอบทุนนิยมตระหนักดีว่าลัทธิมาร์กซนั้นเป็นคู่แข่งที่อันตรายมากต่อระบบของพวกเขา   และแทนที่จะยอมรับในสัจธรรมของมัน กลับตั้งหน้าตั้งตาต่อต้านโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ      ประการที่สอง  คือต้องการกลบฝังมันไว้ภายใต้การหลอกลวงและบิดเบือนใส่ร้ายกองมหึมา ชนิดที่ว่าอย่าให้มันได้โผล่ออกมาอีกตลอดกาล       แต่กระนั้น..ทฤษฎีของมาร์กซและเองเกลส์กลับเจริญงอกงามขึ้นอย่างมั่นคงโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชั้นดินแห่งการเคลื่อนไหวในด้านแรงงาน      และนับวันจำนวนของกรรมกรยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับภายใต้ผลกระทบจากวิกฤติการณ์ของระบอบทุนนิยม       และพวกเขาต่างมีความมุ่งมั่นที่จะเสาะแสวงหาความหมายที่แท้จริงด้วยพลังของตนเองในการกำหนดชะตาชีวิตของพวกเขาเองอย่างมีจิตสำนึก

ทฤษฎีลัทธิมาร์กซได้ตระเตรียมความคิดและความเข้าใจไว้ให้แก่กรรมกร    เป็นหัวหอกที่จะนำพาพวกเขาทะลุผ่านออกมาจากเหตุการณ์ที่วกวนของกระบวนการทางสังคม,เศรษฐกิจ,การต่อสู้ทางชนชั้น,และการเมืองที่มีความสลับซับซ้อน      ด้วยการติดอาวุธทางปัญญาที่คมกริบนี้...ชนชั้นกรรมกรจึงสามารถตัดเงื่อนปมที่ผูกมัดพวกเขาทิ้งไป       พาตัวเองและชนชั้นทั้งชนชั้นก้าวข้ามอุปสรรคที่ใหญ่หลวงไปสู่ความเจริญ ก้าวหน้า..อย่างทรนงองอาจ

แต่ยังคงมีอุปสรรคอีกหลายประการบนเส้นทางของการต่อสู้ของกรรมกรเกี่ยวกับปัญหาทางทฤษฎีและการทำความเข้าใจกับมัน        เนื่องจากเป็นเรื่องที่ชนชั้นกรรมกรไม่ค่อยจะมีความคุ้นเคยเหมือนอ่านหนังสืออ่านเล่น,    กรรมกรทั้งหญิงและชายถูกบีบคั้นให้ทำงานตลอดเวลาในโรงงานอุตสาหกรรมและส่วนมากมักจะด้อยการศึกษา     สิ่งที่ตามมาคืออุปนิสัยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือทำให้เป็นเรื่องยากที่จะซึมซับรับเอาแนวความคิดที่มีความซับซ้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเริ่มแรก     สำหรับมวลชนกรรมกร มาร์กซและเองเกลส์ได้เขียนไว้ว่า   ทุกสิ่งทุกอย่างจะยากเสมอเมื่อเริ่มต้น   ไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เรากำลังพูดถึง     ลัทธิมาร์กซนั้นมีความเป็นวิทยาศาสตร์...มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นศึกษา       แต่กรรมกรทุกคนที่มีบทบาทในสหภาพแรงงานหรือพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพรู้ดีว่า   ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยปราศจากการต่อสู้และการเสียสละ     

เมื่อลงมือศึกษาแล้วจะพบว่าทฤษฎีลัทธิมาร์กซนั้นโดยพื้นฐานแล้วมีความตรงไปไปตรงมาและเรียบง่าย....ที่มากไปกว่านั้นยังเน้นถึงความสำคัญไว้ที่มวลชนกรรมกรที่จะต้องเรียนรู้ด้วยความอดทนและด้วยความมานะพยายามในการทำความเข้าใจ        เพื่อดัดแปลงตนเองให้เป็นนักทฤษฎี..มากกว่าที่จะเป็นแค่นักเรียน        เพราะพวกเขาจะสามารถเข้าใจความคิดที่ไม่เพียงแค่เป็นนามธรรมเท่านั้น   แต่ยังจะสามารถเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตของตนเองในการทำงานของพวกเขาได้อีกด้วย

ปรัชญาลัทธิมาร์กซอธิบายถึงแรงขับเคลื่อนทางประวัติศาสตร์ว่า    ไม่ได้มาจาก ”ผู้ยิ่งใหญ่” คนใด   หรือจากสิ่งที่อยู่ ”เหนือธรรมชาติ” แต่อย่างใด  หากแต่มาจากการพัฒนาของพลังการผลิตของพวกเขาเอง (อุตสาหกรรม,วิทยาศาสตร์,เทคโนโลยี ฯลฯ)   เมื่อวิเคราะห์ให้ถึงที่สุดแล้ว...เศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดสถานภาพของชีวิต,ความเคยชิน และจิตสำนึกของมนุษยชาติ
การศึกษาลัทธิมาร์กซ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ประการที่สำคัญของมันซึ่งมีความสอดคล้องกันอย่างกว้างขวางทั้งด้าน ปรัชญา, เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์สังคม   อันได้แก่   
1. ปรัชญา  “วัตถุนิยมวิภาษ” และ  “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์“   
2. เศรษฐศาสตร์การเมือง
3. สังคมนิยม   และการปฏิวัติ
ก่อนที่จะพูดถึงปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ   เราจะมาทำความเข้าใจคำว่า “ปรัชญา” เสียก่อน  โดยเฉพาะคำถามที่ว่าปรัชญาคืออะไร?     ปรัชญาคือสรรพความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าศาสตร์สาขาต่างๆในขอบเขตที่กว้างขวาง    โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะอธิบายโลกธรรมชาติและมนุษย์      เท่านั้นยังไม่พอมาร์กซยังได้กล่าวไว้ว่า “เราไม่เพียงแต่จะเรียนรู้โลกธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  หากเพื่อเปลี่ยน แปลงโลกด้วย”      ปัญหาพื้นฐานของปรัชญาคือ    ปัญหาที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างสรรพสิ่ง (Things) กับจิต(Ideal) หรือความคิด…..ความรู้ความเข้าใจต่อสิ่งที่ ”มี” และ ”ไม่มี”อะไรเกิดก่อนกันระหว่างจิต(ความคิด)  และสสารวัตถุ    

ต่อคำถามนี้ทำให้เกิดทัศนะขึ้นสองแนวทาง   แนวทางหนึ่งคือพวกที่เห็นว่าจิตหรือความคิดเกิดก่อนวัตถุ  จึงได้ชื่อว่าฝ่ายจิตนิยม   กับอีกแนวคิดหนึ่งที่ยืนยันว่าวัตถุมาก่อนจิตหรือความคิด     นักคิดกลุ่มหลังนี้จัดอยู่ในฝ่ายวัตถุนิยม    ทัศนะอย่างแรกคือจิตนิยมนั้นเกิดขึ้นจากความไม่รู้,และความไม่เข้าใจต่อโลกธรรมชาติ      ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายโลกและสรรพสิ่งได้อย่างที่มันเป็น    พวกเขาจึงอธิบายสิ่งต่างๆบนพื้นฐานความคิดของตนเอง       กระทั่งสรุปกันเอาเองถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า......สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลายนั้นจะต้องมีอำนาจลึกลับที่ยิ่งใหญ่กำกับอยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่ามนุษย์จะสามารถรู้เห็นและสัมผัสได้    แต่ก็สามารถรับรู้ถึงความมีอยู่ของอำนาจลึกลับยิ่งใหญ่นี้ได้ด้วยเหตุและผล (ของพวกเขา) จากวาทะกรรมที่ผ่านตรรกะ   พลังอำนาจฝ่ายดีนั้นถูกเรียกว่าพระเจ้า..พลังที่ไม่ดีถูกเรียกว่า ปีศาจบ้าง ซาตานบ้าง    ความคิดเช่นนี้คือความคิดจิตนิยม  ถึงกระนั้นก็ดี..ความเชื่อแบบจิตนิยมยังดำรงอยู่มาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็โดยอาศัยศาสนาเป็นปัจจัย     จึงมีคำกล่าวกันว่า   “ปรัชญาจิตนิยมสามารถดำรงอยู่ได้โดยศาสนาและ   ศาสนาจะอยู่ไม่ได้หากปราศจากจิตนิยม”

นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต ที่มีชื่อเสียงโดนเด่นเลื่องลือได้แก่ เพลโต และ  เฮเกลล้วนแล้วแต่เป็นนักจิตนิยม   สำนักคิดนี้มีความคิดว่า  ธรรมชาติและประวัติศาสตร์เป็นการสะท้อนออกทางความคิดของจิตวิญญาณ   ทฤษฎีที่ว่าทั้งหญิง ชาย และวัตถุสิ่งของทุกอย่างนั้นถูก”เนรมิต” ขึ้นโดยวิญญาณอันศักดิ์ สิทธิ์, นี่เป็นพื้นฐานความคิดของลัทธิจิตนิยม    ทัศนะเช่นนี้ได้แสดงออกหลายทาง  แต่รากฐานของมันคือความคิดที่ควบคุมการพัฒนาของโลกวัตถุ      ประวัติศาสตร์จึงถูกอธิยายให้เป็นประวัติศาสตร์ของความนึกคิด     จะเห็นได้ว่าการกระทำต่างๆของผู้คนเป็นผลมาจากความคิดที่เป็นแบบนามธรรม,ไม่ได้มาจากความจำเป็นทางวัตถุของพวกเขา    แต่เฮเกลได้ก้าวล้ำไปอีกก้าวหนึ่ง..แต่ก็ยังเห็นคล้อยตามนักจิตนิยมที่ว่า ”ความคิด” เปลี่ยนไปสู่ "ความคิดอิสระ" ที่มีอยู่ภายนอกสมองและเป็นอิสระจากโลกของวัสดุ      
หลักคิดของจิตนิยม 3 ประการ
1.    จิตเกิดก่อนวัตถุ
2.    วัตถุไม่ได้อยู่นอกเหนือไปจากความคิดของมนุษย์   
3.    ความคิด(จิต)เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง

ปรัชญาจิตนิยมเชื่อว่าจิตเท่านั้นที่เป็นความจริงอันสูงสุด(อันติมะ)    วัตถุทั้งหลายคือสิ่งที่จิตคิดขึ้น..   (จิตนิยมอัตวิสัย)     ส่วนธรรมชาติทั้งมวลล้วนเป็นผลิตผลของจิต   และจิตนี้ไม่ใช่จิตหรือความคิดธรรมดา  หากแต่เป็นจิตที่ สัมบูรณ์(absolute)  มีความเป็นนิรันดร์  และอยู่นอกเหนือโลกธรรมชาติทั้งปวง(จิตนิยมภววิสัย)

นักจิตนิยมมักจะมองสรรพสิ่งอย่างตายตัวและใช้ความคิดความเชื่อของตนเป็นบรรทัดฐาน   ดังนั้นแนว คิดหรืออุดมคติทางการเมืองของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้   คนเหล่านี้จึงหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง    พยายามสร้างประวัติศาสตร์จากแนวคิดของตนเองแล้วยัดเยียดให้ผู้อื่นเชื่อ   หรือต้องเชื่อ      เมื่อใดที่มีคนออกมาโต้แย้ง  คัดค้าน  หรือกระทำผิดแผกไปจากแนวคิดหรือความเชื่อของพวกเขา..ก็จะถูกกล่าวหาใส่ร้ายต่างๆนานา    ยิ่งมีมวลชนลุกขึ้นมาคัดค้าน..ก็จะแสดงทัศนะว่ามวลชนถูกปลุกปั่นยุยงจากศัตรูของพวกเขา        หรือไม่ก็ “ถูกจ้างมา” ซึ่งเราเคยได้ยินกันมาตลอดในการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางเศรษฐกิจหรือการเมืองตลอดระยะที่ผ่านมา

องค์ประกอบที่ 1  วัตถุนิยม และ วัตถุนิยมวิภาษ

ความคิดที่ควบคู่กันมาและเป็นด้านตรงกันข้ามกับจิตนิยมก็คือความคิดวัตถุนิยม   คำว่า “วัตถุ”นั้นในทางปรัชญาหมายถึงวัตถุสสาร(Material)   และในทางการเมืองหมายถึงการดำรงชีวิตทางวัตถุ   ได้แก่การดำรงชีวิตในวิถีการผลิตทางวัตถุซึ่งก็คือการดำรงชีวิตทางเศรษฐกิจ    เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจให้แจ่มชัดและต้องรู้เท่าทัน...เนื่องจากนักบิดเบือนทฤษฎีหรือพวกที่ชิงชังการเปลี่ยนแปลงได้พยายามบิดเบือนความหมายที่แท้จริงของวัตถุนิยมมานานแล้ว      เรามักจะได้ยินคำอ้างอยู่เสมอว่านักวัตถุนิยมเป็นพวก หัวรุนแรง   เอียงซ้าย    โดยเฉพาะพวกคอมมิวนิสต์ที่เชื่อในปรัชญาวัตถุนิยมนั้นเป็นพวกที่เห็นแก่วัตถุ   สนใจแต่บริโภคนิยม  ไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและจริยธรรมที่ดีงามตามจารีตประเพณี   มีจิตใจหยาบกระ ด้าง  นิยมความรุนแรง และกล่าวหาใส่ร้ายต่างๆนานา       

สิ่งที่พวกเขากล่าวหานั้นก็คือการใส่ร้ายบิดเบือนปรัชญาวัตถุนิยมด้วยการ เล่นลิ้นเล่นคำ  เท่านั้นเอง       ในความเป็นจริงพวกเขาต่างหากที่เป็นนัก นิยมวัตถุ    เราสามารถพิสูจน์ได้จากการสะสมวัตถุของพวกเขา  ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง   ที่ดิน  รถยนต์   สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งปวงซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการคดโกง ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทั้งสิ้น

อีกด้านหนึ่งผู้ที่มีแนวคิดแบบวัตถุนิยม  ยังคงยึดมั่นว่าโลกวัตถุนั้นเป็นของจริงและธรรมชาติหรือวัตถุนั้นมาเป็นอันดับแรก  ปัญญาและความคิดนั้นเป็นผลิตผลของสมองที่ประมวลมาจากการได้สัมผัสวัตถุของอวัยวะรับสัมผัสต่างๆ      ดังนั้นความคิดที่เกิดขึ้นในสมองก็คือขั้นตอนที่แน่นอนในพัฒนาการของสิ่งมี ชีวิต    หลักการพื้นฐานของวัตถุนิยมมีดังต่อไปนี้

1. โลกของวัตถุ     เราสามารถรับรู้ได้โดยความรู้สึกสัมผัสของเราเองและการค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์  ซึ่งเป็นสัจธรรม     พัฒนาการของโลกขึ้นอยู่กับกฎเกณท์ทางธรรมชาติโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจที่เหนือธรรมชาติใดๆ  มาสรรสร้างปรุงแต่ง

2.  โลกนั้นเป็นโลกของวัตถุเพียงอย่างเดียว    ความคิดเป็นผลผลิตของวัตถุ(สมอง)ไม่ได้เกิดขึ้นจากมโนคติใดๆ     ดังนั้นความคิดหรือมโนคติใดๆจึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยแยกออกจากวัตถุ และ”จิต” หรือความคิดจึงไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยปราศจากวัตถุ       โดยทั่วไปความคิดเป็นเพียงการสะท้อนโลกของวัตถุต่อตัวเรา  มาร์กซเขียนไว้ว่า “ ความคิดไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าโลกของวัตถุที่สะท้อนขึ้นในใจของมนุษย์,และแปลออกมาเป็นความคิด” และต่อไปว่า “ชีวิตทางวัตถุของสังคมเป็นตัวกำหนดจิตสำนึก”

พวกจิตนิยมเชื่อว่าจิตสำนึกเกิดขึ้นจากภายในไม่ใช่จากภายนอก    และไม่เห็นด้วยในเรื่องวัตถุตลอด จนถึงเรื่องธรรมชาติ     ความเห็นที่ต่างไปนี้เป็นเรื่องที่ผิดและไม่เป็นความจริง   มันมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดระหว่างกฎเกณฑ์ทางความคิดและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติเพราะสิ่งที่มาก่อนนั้นจะสะท้อนถึงสิ่งที่มาทีหลัง(เหตุและผล)     ความคิดไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากตัวของมันเอง, หากแต่เกิดขึ้นจากโลกภายนอก    แม้ว่าความคิดที่เป็นนามธรรมส่วนมากจะเป็นความจริง,แต่ก็เกิดขึ้นหลังจากการเฝ้าสังเกตุโลกวัตถุภายนอกตัวเรา      ดังนั้น  “การคิดจึงไม่ได้หมายถึงการผลิตมโนภาพขึ้นมาจากความว่างเปล่า”   และก็เช่นเดียวกันกับที่เลนินได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อวัตถุสัมผัสกับอวัยวะรับรู้ของเราก็จะเกิดความรู้สึกขึ้น      ความรู้สึกขึ้นอยู่กับสมอง;ระบบประสาท;เยื่อตา;ฯลฯ  วัตถุเป็นสิ่งแรก  ความรู้สึก  ความคิด  คือผลผลิตขั้นสูงสุดของวัตถุ   เหล่านี้คือลัทธิวัตถุนิยม ”

รากฐานของวัตถุนิยม
“ถิ่นกำเนิดลัทธิวัตถุนิยมสมัยใหม่”  เองเกลส์เขียนไว้ว่า “จากศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมาคืออังกฤษ”  ในยุคนั้น...บรรดาพวกขุนนางศักดินาและระบบกษัตริย์แบบดั้งเดิมได้มีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันเนื่องจากการถือกำเนิดขึ้นของชนชั้นกลาง   ปราการสำคัญของศักดินาได้แก่ศาสนจักรโรมันคาธอลิก.....ภายใต้เงื่อนไขว่าเป็นสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์และทรงความยุติธรรมของระบอบกษัตริย์และขุนนางศักดินากำลังถูกบ่อนเซาะทำลายก่อนที่จะมีการโค่นระบอบศักดินา   ชนชั้นนายทุนที่กำลังเติบใหญ่ได้ท้าทายต่ออำนาจความศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพื้นฐานของความคิดเก่า

ชนชั้นกลางได้ดำเนินการฟื้นฟูความรู้ทางวิทยาศาสตร์เช่น ดาราศาสตร์  กลศาสตร์ ฟิสิคส์  กายวิภาค ปรัชญา ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตผลทางอุตสาหกรรมของชนชั้นนายทุน     ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้วิทยาศาสตร์ที่มีการตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพของวัสดุและความเป็นไปในพลังของธรรมชาติ     ถึงตอนนี้วิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจของลัทธิศาสนา,ไม่ได้รับอนุญาตให้ล้ำขอบเขตที่ถูกกำหนดโดยความศรัทธา(ในพระเจ้า)  ด้วยเหตุนี้(การศึกษา)วิทยาศาสตร์จึงถูกระงับไปโดยสิ้นเชิง(ในศตวรรษที่ 17 กาลิเลโอได้ทำการพิสูจน์ความจริงในทฤษฎีของโคเปอร์นิคุส ที่ว่าด้วยโลกและดาวเคราะห์ต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์)       พวกศาสตราจารย์ทั้งหลายในเวลานั้นต่างหัวเราะเยาะความคิดนี้....ใช้อำนาจเข้าชื่อกันไต่สวนความผิดของกาลิเลโอและบังคับให้กลับความเห็นเสียใหม่)   “วิทยาศาสตร์กบฏต่อศาสนจักร.    แต่นายทุนไม่สามารถดำเนินงานได้โดยปราศจากวิทยาศาสตร์..ดังนั้นจึงจำเป็นเข้าร่วมการกบฎ.”.....เองเกลส์

ในช่วงเวลานี้ ฟรานซิส เบคอน(1561-1626) ได้พัฒนาแนวคิดที่ปฎิวัติของลัทธิวัตถุนิยม     ตามที่เขาเคยคิดว่าความรู้สึกเป็นแหล่งที่มาของความรู้ที่แน่นอนทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง     วิทยาศาสตร์ทั้งมวลล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ทั้งสิ้น, และมีข้อมูลภายในที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งสามารถจะสืบเสาะได้โดยการ ;อุปนัย* ; วิเคราะห์  ; เปรียบเทียบ ; เฝ้าสังเกตและทดลอง
ธมัส ฮอพส์ (1588-1679)  ได้พัฒนาวัตถุนิยมของเบคอนที่ทิ้งเอาไว้ให้เป็นระบบขึ้นในเวลาต่อมา   เขาตระหนักดีว่าความคิดและมโนคติเป็นการสะท้อนออกถึงโลกวัตถุและ   "เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกความคิดออกจากวัตถุสสารที่เราคิด”   ต่อมา จอห์น ล๊อค (1632-1704) นักคิดชาวอังกฤษได้ยอมรับปรัชญาลัทธิวัตถุนิยม  ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าความคิดเกิดขึ้นจากประสบการณ์   โดยให้ตัวอย่างที่มนุษย์สร้างโต๊ะขึ้นก็เพราะว่ามีประสบการณ์ในการนั่งบนขอนไม้หรือแผ่นหินมาก่อน    แนวคิดนี้ภายหลังได้พัฒนาไปเป็นลัทธิ “ประสบการณ์นิยม

สำนักปรัชญาวัตถุนิยมได้ขยายผ่านจากอังกฤษไปยังฝรั่งเศส   ได้รับการยอมรับและพัฒนาให้รุดหน้าไปอีกโดย  เรเน เดคาร์ท(1596-1650) และบรรดาสานุศิษย์ของท่าน    นักวัตถุนิยมชาวฝรั่งเศสเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่จำกัดตัวเองไว้แค่การวิพากษ์ศาสนาเท่านั้น,  แต่ยังขยายไปถึงสถาบันต่างๆและแนวแนวคิดอื่นๆอีกด้วย    การแข่งขันกันในเรื่องนี้ในนามของเหตุผล..  และเป็นเสมือนดินระเบิดสำหรับการพัฒนา การดิ้นรนต่อสู้ของชนชั้นนายทุนกับสถาบันกษัตริย์อีกด้วย     การถือกำเนิดของการปฏิวัติใหญ่ของชน ชั้นนายทุนในฝรั่งเศสเมื่อปี 1789-93 ก็ได้รับจากพื้นฐานความเชื่อมาจากปรัชญาวัตถุนิยม        

การปฏิวัติในฝรั่งเศสนั้นได้ดำเนินควบคู่กันไปกับการทำลายระเบียบเก่าของศักดินาลงไปอย่างสิ้นเชิง ภายหลังเองเกลส์ ได้ชี้ให้เห็นว่า   “ทุกวันนี้เราได้รู้แล้วว่า...อาณาจักรของเหตุผลนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นที่นอกเหนือไปจากอาณาจักรแห่งความเพ้อฝันของพวกนายทุน ”
อย่างไรก็ตามจุดอ่อนในลัทธิวัตถุนิยมของเบคอนคือมีลักษณะที่ตายตัว   อธิบายธรรมชาติแบบกลไก   ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สำนักปรัชญาวัตถุนิยมในอังกฤษจะมีความเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในศตวรรษที่ 18...เมื่อไอแซค นิวตัน ได้ทำให้ “ กลศาสตร์” เป็นสิ่งที่ก้าวหน้าและมีความสำคัญทางวิทยาศาสตร์   เองเกลส์กล่าวว่า “ขอบเขตที่จำกัดของวัตถุนิยมชนิดนี้อยู่ที่ไม่มีความสามารถเข้าถึงจักรวาลและกระ บวนการของมัน,ว่าวัตถุได้ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายมาแล้วในประวัติศาสตร์

การปฏิวัติฝรั่งเศสมีอิทธิพลต่ออารยะธรรมของโลกสมัยใหม่อย่างลึกซึ้ง  คล้ายกับการปฏิวัติรัสเซียเมื่อปี 1917   ความคิดที่ปฏิวัติได้ซึมซ่านเข้าไปในทุกๆขอบเขตม่ว่าในทางการเมือง  ปรัชญา   วิทยาศาสตร์และศิลปะ    การบ่มเพาะความคิดจากการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนได้เปิดโอกาสให้แก่ความ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ  ธรณีวิทยา  พฤกษศาสตร์ เคมี เท่าๆกับเศรษฐศาสตร์การเมือง
มันเป็นช่วงเวลาของการวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นแบบวัตถุนิยมกลไก     อิมมานูเอล ค้านท์ (1724-1804) นักปรัชญาชาวเยอรมันได้ประสบความสำเร็จครั้งแรกที่ต่างไปจากกลศาสตร์แบบเก่าด้วยการค้นพบว่า    โลกและระบบสุริยะไม่ได้เป็นเช่นนี้ไปชั่วนิรันดร์         หลักการนี้ได้ถูกประยุกต์ ไปใช้กับ ภูมิศาสตร์  ธรณีวิทยา  พืช และสัตว์    ความคิดที่ปฏิวัติของค้านท์นี้ได้ถูกพัฒนาให้กว้างขวางและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นโดย เกอ๊อค เฮเกล (George Hegel--1770-1831) นักคิดชาวเยอรมัน     เฮเกลเป็นนักปรัชญาจิตนิยม,ที่เชื่อว่าโลกสามารถอธิบายได้โดยการแสดงออกหรือเป็นสิ่งสะท้อนของ”จิตสัมบูรณ์”หรือความคิดสัมบูรณ์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของพระเจ้า

จากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้เขาค้นพบว่า..นจักรวาลทุกสิ่งทุกอย่างมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยน แปลง  และทุกสิ่งมีความสัมพันธ์กันไม่อาจแยกออกจากกันได้   แม้แต่ความคิดซึ่งเป็นนามธรรมก็มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่ต้องผ่านไปตามขั้นตอนโดยเริ่มต้นจาก   บทตั้ง (thesis) ไปสู่บทแย้ง(anti-thesis)และนำไปสู่ บทสรุป(synthesis) เขาเรียกวิธีการนี้ว่า"วิภาษวิธี”หรือไดเล็คติค (dialectic)    เฮเกลมีทัศนะต่อสรรพสิ่งว่า  มีการพัฒนา ที่ดูเหมือนว่าจะซ้ำซากวนเวียนเป็นเกลียว ไม่ได้อยู่ในแนวราบ    มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด     การสูญสลาย     การเปลี่ยนแปลงโดยรากฐาน (ปฏิวัติ)  การแตกตัวอย่างต่อเนื่อง    การเปลี่ยนแปลงจากปริมาณไปสู่คุณภาพ   โดยแรงกระตุ้นภายในก่อให้เกิดการพัฒนาซึ่งเผยให้เห็นถึงความขัดแย้งและความแตกต่างของพลังหลายชนิด   และเป็นแนวโน้มของการเกิดรูปลักษณ์หรือทำให้เกิดปรากฏการณ์"
แต่เฮเกลไม่ได้มองว่าโลกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ,แต่เป็นเหตุการณ์ที่นักปรัชญาได้ครุ่นคิดใคร่ครวญกันมานานแล้ว   เขาใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือวัดโลกอธิบายประวัติศาสตร์ตามความรู้สึกนึกคิดของตนว่าเป็นประวัติศาสตร์แห่งความคิด      โลกทั้งมวลคือโลกของความนึกคิด เป็นโลกของมโนคติ       

ดังนั้น..สำหรับเฮเกลแล้ว..ปัญหาและความขัดแย้งจึงไม่ใช่เงื่อนไขที่แท้จริงหากแต่มันเป็นเพียงรูปแบบของความคิด..     ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่ความคิดแทนการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมด้วยการต่อสู้ทางชนชั้น    แต่มาร์กซเห็นว่า “กระบวนการทางวิภาษวิธี  คือการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่เกิดจากความขัดแย้ง”

แม้ว่า..เฮเกลได้ค้นพบวิธีใหม่และวิเคราะห์กฎของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง   แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังยึดแนวทางจิตนิยม        ดังนั้นวิภาษวิธีของเขาจึงไม่สามารถเปล่งประกายได้จนถึงที่สุด   และยังถูก วิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาสานุศิษย์ของเขาที่นำโดย ลุดวิก ฟอยเออร์บัค( Ludwig Feuerbach 1804-1872) ที่พยายามแก้ไขและนำกลับไปสู่รากเดิมของระบบปรัชญาวัตถุนิยมโดยสรุปว่า  “ความคิดหรือจิตเกิดจากสิ่งที่มีตัวตน(Being)    มิใช่สิ่งที่มีตัวตนเกิดจากความคิด “      และยังวิพากษ์ ”พระเจ้า” ว่า “พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์   มนุษย์ต่างหากที่สร้างพระเจ้าขึ้นมาในจินตนาการของตน “ แต่ก็ไม่สามารถลบล้างทัศนะจิตนิยมของลัทธิเฮเกลออกไปได้       เพราะวัตถุนิยมของฟอยเออร์บัคยังมีลักษณะที่เป็นกลไก    ภาระนี้ได้ตกทอดมาถึงมาร์ซ และเองเกลส์...ที่สามารถช่วยให้ปรัชญาวัตถุนิยมหลุดพ้นจากเปลือกหุ้มอันลี้ลับนี้ได้        วิภาษวิธีของเฮเกลได้ถูกหลอมเข้ากับวัตถุนิยมสมัยใหม่ซึ่งเป็นการนำไปสู่ความเข้าใจถึงลักษณะปฏิวัติของ “ลัทธิวัตถุนิยมวิภาษ”
เราจึงพอจะสรุปสาระสำคัญของวัตถุนิยมก่อนมาร์กซได้ดังนี้

1  ที่สรรพสิ่งเคลื่อนไหวได้เป็นเพราะสาเหตุจากภายนอกโดยมีแรงจากภายนอกมากระทำ   ที่เป็นเช่นนี้เพราะได้รับอิทธิพลจากวิชากลศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นในยุโรปขณะนั้น(เครื่องจักรไอน้ำ)
2  สรรพสิ่งย่อมไม่เปลี่ยนแปลง   มีสภาพอยู่เช่นไรก็จะคงสภาพอยู่เช่นนั้น
3  สรรพสิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน   ต่างดำรงอยู่ด้วยตัวมันเอง 
ดังนั้นวัตถุนิยมก่อนมาร์กซจึงไม่สามารถใช้ทฤษฎีของตนมาตีความกระบวนการทางสังคมได้อย่างถูก ต้อง   พวกเขาเห็นว่าการที่สังคมเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่มีระดับสูงกว่านั้นเป็นเพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์(เพราะยังไม่เข้าใจความขัดแย้งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนา)
metaphysics  (อภิปรัชญา)

คำว่า (metaphysics) มาจากคำสองคำ  คือ meta ที่แปลว่า ใหญ่ หรือ นอกเหนือ  และ physics  ที่หมายถึง  ความรู้ในธรรมชาติ   วิทยาศาสตร์   เชื่อกันว่าถือกำเนิดขึ้นในกรุงโรมเมื่อประมาณ 70 ปีก่อนคริสตกาลโดย อันโดรนิคุส แห่ง โรดส์  นักปรัชญาชาวกรีกที่จาริกไปยังโรมและได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับงานนิพนธิ์ของ อริสโตเติล       โดยคัดแยกรวบรวมบทความรุ่นแรกๆของอริสโตเติลไว้เป็นหมวดหมู่เรียกว่า “ปรัชญาชั้นหนึ่ง” (First Philosophy) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทววิทยา    ตามมาด้วยหมวดที่เกี่ยวกับ  ”วิทยาศาสตร์”(Physics)      ดังนั้นปรัชญาชั้นหนึ่งนี้ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในนาม เมตาฟิสิคส์ หรือมีนัย ว่าเหนือกว่าชุดฟิสิคส์   ซึ่งกินความหมายกว้างขวางมากและมีอิทธิพลครอบงำความคิดของนักปราชญ์ในยุโรปมานับเป็นพันปี   ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้อ้างอิง อธิบาย.เรื่องราวทั้งหลายซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบทั่วในการตรวจสอบสัจธรรม         ถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า ”อภิปรัชญา”  ดังนั้นจึงมักจะเข้าใจกันว่าเป็นปรัชญาที่ยิ่งใหญ่สุดยอดของปรัชญาที่เหนือกว่าปรัชญาใดๆตามความหมายของศัพท์       เนื่องจากการต่อสู้กันระหว่างแนวคิดจิตนิยมกับวัตถุนิยมที่ดำเนินมานาน    ทำให้นักปรัชญากลุ่มหนึ่งพยายามจะประนีประนอมโดยผสมผสานความคิดและหลักการของจิตนิยมและวัตถุนิยมกลไกเข้าด้วยกันและเรียกว่า เมตาฟิสิคส์  โดยมีหลักการดังนี้

1   สรรพสิ่งนั้นดำรงอยู่อย่างไรก็จะเป็นอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง   หากจะเปลี่ยนแปลงก็เป็นเพียงการเพิ่มขึ้นหรือลดลงทางปริมาณเท่านั้น   และการเปลี่ยนแปลงของมันเกิดจากเหตุภายนอกมากระทบเช่นแรงและปัจจัยทางธรรมชาติอื่นๆ (เนื่องจากไม่เข้าใจความขัดแย้งภายใน)

2   สรรพสิ่งไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน   ต่างแยกกันดำรงอยู่โดยสิ้นเชิง

3   สิ่งที่ขัดแย้งกันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้    ต้องขจัดด้านใดด้านหนึ่งออกไป
จากหลักการเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า   อภิปรัชญาไม่เข้าใจถึงความขัดแย้งภายในที่เป็นสาเหตุหลักของการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง    และแน่นอนการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยปัจจัยภายนอกเป็นองค์ประประกอบด้วย        อภิปรัชญาไม่เข้าใจว่าสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กันทั้งทางตรงและทางอ้อม   เลนิน กล่าวไว้ว่า”.....ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นๆนั้นเป็นเงื่อนไขของการดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้นๆ”     อภิปรัชญายังไม่เข้าใจถึงความขัดแย้งภายในที่เป็นเอกภาพกันหรือการดำรงอยู่ร่วมกันของความขัดแย้ง  หรือ เอกภาพวิภาษ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของวิภาษวิธี

ความคิดแบบเมตาฟิสิคส์หรือแบบสามัญสำนึกนั้น   เพียงพอต่อการคาดคะเนอย่างพื้นๆสำหรับจุดมุ่ง หมายในชีวิตประจำวันแต่มันมีข้อจำกัด    และนอกเหนือจากนั้นการใช้สามัญสำนึกอาจทำให้ความเป็นจริงกลับตาลปัตรได้       พื้นฐานที่บกพร่องทางความคิดเช่นนี้ทำให้ขาดพลังในการเข้าใจการเคลื่อน ไหวและการพัฒนาของสรรพสิ่ง   เมตาฟิสิคส์ยังปฏิเสธความขัดแย้งอีกด้วย    

เองเกลส์ได้บรรยายไว้ในบทนิพนธิ์ แอนตี้ ดือห์ริ่ง ของท่านเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของแนวคิดแบบเมตาฟิสิคส์ว่า..“สำหรับนักเมตาฟิสิคส์ พวกเขาได้สะท้อนความคิดที่ว่าวัตถุและจิต(ความคิด)แยกออกจากกัน      และการพิจารณาสรรพสิ่งแบบก่อนและหลังโดยไม่มีความสัมพันธ์กัน   เป็นเพียงการตรวจสอบวัตถุแบบ ยึดติด ตายตัว   สรุปเพียงครั้งเดียวถือว่าสิ้นสุด   สำหรับพวกเขาแล้ว คิดว่ามันเป็นบทแย้งที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ไม่ว่ามันจะดำรงอยู่หรือไม่ก็ตาม    ในเวลาเดียวกันตัวสรรพสิ่งเองไม่สามารถแปรเปลี่ยนไปสู่สิ่งอื่นได้     ส่วนที่เป็นบวกและลบนั้นแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง   เหตุและผลล้วนแต่เป็นสิ่งตรงกันข้ามกันอย่างตายตัว

สรุปทัศนะของอภิปรัชญาก็คือ  เป็นทัศนะในการมองสรรพสิ่งแบบด้านเดียว หยุดนิ่ง มองเห็นแต่ปรากฎการณ์ภายนอกไม่เห็นธาตุแท้ของสรรพสิ่ง        นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นกลไกของอภิปรัชญา พวกเขายังใช้ทัศนะของจิตนิยมประวัติศาสตร์มาอธิบายเรื่องชนชั้นในสังคม  การกดขี่ขูดรีด  ความยากจน ฯลฯ  โดยการยอมรับสังคมที่มีชนชั้น   มีการกดขี่ขูดรีด และจะสรุปว่าสิ่งเหล่านี้มีมาเนิ่นนานแล้วและยังคงจะมีอยู่ต่อไปตราบใดที่มนุษย์ยังเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์    นี่ก็แสดงว่าไม่ได้คำนึงถึงสาเหตุที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นและดำรงอยู่โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงมัน      

วิภาษวิธี
เราเคยรู้แล้วว่าลัทธิวัตถุนิยมสมัยใหม่เป็นแนวคิดที่เห็นว่า  วัตถุเป็นสิ่งมาก่อน และจิตหรือความคิดนั้นเป็นผลผลิตของสมอง  แต่อะไรคือวิภาษวิธี? ซึ่งมาร์กซได้ให้คำจำกัดความว่า “วิภาษวิธีคือกระบวน การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง”      เองเกลส์ได้ขยายความให้กว้างขึ้นว่า  “วิภาษวิธีไม่ใช่อะไรอื่นที่นอกเหนือไปจากกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ของการเคลื่อนไหวและพัฒนาของธรรมชาติ..สังคม..และความคิด”

วิธีคิดแบบวิภาษวิธีนั้นมีมาแล้วอย่างยาวนานก่อนที่ มาร์กซและเองเกลส์จะพัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์    ในการทำความเข้าใจถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ ชาวกรีกโบราณได้ให้กำเนิดนักคิดวิภาษวิธีผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอย่างมากมาย รวมถึง เพลโต  เซนอน และอริสโตเติ้ล   เมื่อ500 ปีก่อนคริสตศตวรรษ  เฮราคลิตุส มีความคิดที่ก้าวหน้าเห็นว่า “ทุกสิ่งมีและไม่มี  มันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ความคงที่เปลี่ยนแปลงไป  ความคงที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป” และต่อไปอีกว่า  “สรรพสิ่งทั้งหลายเคลื่อนไหว..เปลี่ยนแปลง   มันเป็นไปไม่ได้ที่กระแสน้ำเดียวกันจะไหลผ่านไปได้ถึงสองครั้ง”  ข้อความเหล่านี้บ่งแสดงถึงทัศนะคติพื้นฐานของวิภาษวิธีที่ทุกสิ่งในธรรมชาติมีสภาวะที่แน่นอนในการเปลี่ยน แปลง  การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายไป   วิธีคิดแบบวิภาษวิธีเมื่อเปรียบเทียบกันทางด้านพื้นฐานกับเมตาฟิสิคส์แล้วก็เหมือนกับภาพยนตร์กับภาพนิ่ง   ไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดในวัตถุประสงค์     แต่มีความเป็นจริงมากกว่า  ประมาณการในความเป็นจริงได้ใกล้เคียงกว่า

หลักใหญ่ 4 ข้อของวิภาษวิธีโดยสังเขป
1   สรรพสิ่งมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง   จากปริมาณไปสู่คุณภาพ    
2   สรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กัน(ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม)    ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว
3   สรรพสิ่งมีความขัดแย้ง    
4   ความขัดแย้งภายในเป็นสาเหตุ    ส่วนความขัดแย้งภายนอกเป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลง: ที่เป็นแบบวิภาษวิธีนั้นได้แก่กระบวนการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ     ไม่ขึ้นต่อความต้องการหรือเป็นไปตามการกระทำของมนุษย์      ตัวอย่างเช่นการตัดไม้มาทำเฟอร์นิเจอร์ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างวิภาษวิธี   เพราะเกิดขึ้นโดยความประสงค์ของมนุษย์  แต่การที่เมล็ดข้าวงอกนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามธรรมชาติ      ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งภายในเมล็ดข้าวเอง และปัจจัยภายนอกที่เหมาะสมเช่นดิน  น้ำ อุณหภูมิ  ความชื้น ฯลฯ  ไม่มีใครสามารถบงการมันได้  ว่าให้มันหยุดงอกหรืออื่นๆ   การงอกของเมล็ดข้าวจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ วิภาษวิธี

การสะสมปริมาณไปสู่คุณภาพ

การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบอื่นเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะชี้ขาด....เองเกลส์
แนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป    แต่รูปแบบของการเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติและสังคมนั้นมีแต่วิภาษวิธีของลัทธิมาร์กซเท่านั้นที่สามารถอธิบายได้     ภาพโดยทั่วไปของการวิวัฒนาการนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นไปอย่างสันติ,ราบเรียบและพัฒนาไปโดยไม่มีอุปสรรคใดๆนั่นเป็นเพียงด้านเดียวและไม่ถูกต้อง   ในทางการเมืองเรียกว่า“ทฤษฎีค่อยเป็นค่อยไป”  ซึ่งพื้นฐานทางทฤษฎีของมันก็เพื่อค้ำจุนระบอบปฏิรูป       เนื่องจากจริยธรรมของระบอบปฏิรูปเป็นการยอมรับชะตากรรม ”อย่างสันติ”  มันจึงเป็นสาเหตุของการสะสมความชั่วร้ายเลวทรามทางสังคม   เช่นการกดขี่เอารัดเอาเปรียบและความไม่เป็นธรรมในสังคมที่มีชนชั้น      จริยธรรมนี้จึงเป็นประโยชน์แก่ชนชั้นปกครองเท่านั้น      แต่วิภาษวิธีก็ไม่ได้ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณอย่างค่อยเป็นค่อยไป(การปฏิรูป)  แต่ได้ตระหนักเป็นอย่างยิ่งถึงการสะสมปริมาณที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพอย่างก้าวกระโดดด้วย

อย่างไรก็ตามเฮเกลได้พัฒนาแนวคิดเรื่อง ”จุดวัดความสัมพันธ์” ที่มีขอบเขตอยู่ที่จุดๆหนึ่งของจำนวน ปริมาณที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงที่จะส่งผลให้เกิดสภาวะก้าวกระโดด    ตัวอย่างเช่นกรณีให้ความร้อนแก่น้ำและให้จุดเดือดและจุดเยือกแข็งเป็นจุดกำหนด   ภายใต้แรงดันปกติ,การก้าวกระโดดเข้าสู่สภาวะใหม่จะเกิดขึ้นเป็นกลุ่มก้อนไม่กระจัดกระจาย   และในที่สุดปริมาณก็จะเปลี่ยนแปลงไปสู่คุณภาพ

ดังนั้นจากตัวอย่างข้างบนนี้,การเปลี่ยนแปลงของน้ำจากสภาวะของเหลวไปเป็นไอ  หรือเป็นน้ำแข็งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการค่อยเป็นค่อยไปหรือเกิดขึ้นอย่างกระจัดกระจาย   แต่จะเกิดขึ้นทันทีเมื่ออุณหภูมิอยู่ที่ 0°C หรือ100°C   การสะสมทำให้เกิดการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงเป็นจำนวนมากในความเร็วระดับโมเล กุล    ในที่สุดก็ทำให้เกิดขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงจากปริมาณไปสู่คุณภาพ
ความขัดแย้ง:    คือความไม่เหมือนกันหรือความแตกต่างกันของสรรพสิ่งรอบตัวเรา มันดำรงอยู่และเกิดขึ้น ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของสรรพสิ่ง    

ความขัดแย้งสองชนิด  

1) คือความขัดแย้งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงในธรรมชาติได้แก่ความขัดแย้งทางความคิด   ในทางปรัชญาถือว่าเป็นความขัดแย้งทางอัตวิสัยคือคิดต่างกัน        ความขัดแย้งชนิดนี้  ไม่ถือว่าเป็นความขัดแย้งแบบวิภาษวิธี

2) คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายในสรรพสิ่ง   ความขัดแย้งชนิดนี้จะดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ   ไม่ขึ้นกับสิ่งใด   ไม่มีใครสามารถบงการมันได้    เช่นการงอกของเมล็ดพืชที่เกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งระหว่างตัวชีวิตที่เป็นกระบวนการทางชีวะ-เคมีกับเปลือกหุ้มเมล็ด    การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตก็ดี   การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดจากความขัดแย้งทางชนชั้นก็ดี  ถือว่าเกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายใน   และแน่นอนย่อมต้องอาศัยองค์ประกอบภายนอกอื่นๆอีกด้วย     ความขัดแย้งชนิดนี้แหละที่เป็นความขัดแย้งที่เป็น“วิภาษวิธี”     ความขัดแย้งภายในนั้นประกอบด้วยด้านสองด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกันแต่ดำรงอยู่ด้วยกันภายในสิ่งหรือปรากฏการณ์เดียวกัน       เรียกว่าเอกภาพของด้านตรงกันข้าม หรือ  เอกภาพวิภาษ ซึ่งมีสองลักษณะสองด้านดังนี้

ด้านแรก:  คือด้านที่ประนีประนอมกันอาศัยซึ่งกันและกัน      แสดงถึงการที่มันอาศัยด้านตรงกันข้ามของมันเป็นเงื่อนไขในการดำรงอยู่และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน    หากขาดด้านใดด้านหนึ่งตัวมันเองก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้    เช่นความไม่รู้กับความรู้เป็นต้น   

ด้านที่สอง:    คือด้านที่ต่อสู้กัน   ทำให้กระบวนการที่พัฒนาอยู่ชะงักลงชั่วคราว( หยุดสู้กัน)  แต่เมื่อด้านใดแข็งแรงกว่า..มีอิทธิพลมากกว่ามันก็จะครอบงำด้านที่อ่อนแอกว่า   การที่มันมีอิทธิพลครอบงำเช่นนี้จะทำให้การพัฒนาเคลื่อนต่อไปสู่คุณภาพใหม่และความขัดแย้งใหม่ๆต่อไป  

ที่สำคัญคือด้านทั้งสองของความขัดแย้งที่อยู่ตรงกันข้ามกันนั้น  จะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือเกือบจะพร้อมกัน   มีความความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก   และเกิดขึ้นใน ”สิ่ง” หรือ”ปรากฏการณ์”เดียวกันด้วย  เรียกว่าเอกภาพของด้านตรงกันข้าม  หรือเอกภาพวิภาษ   เป็นกระบวนการสำคัญของการเปลี่ยนแปลงจากปริมาณไปสู่คุณภาพของสรรพสิ่ง    ซึ่งเป็นไปอย่างฉับพลันหรืออย่างที่เรียกว่า”ก้าวกระโดด”

เมื่อเราเข้าใจลักษณะของเอกภาพวิภาษแล้ว    จะทำให้เราสามารถพัฒนาความคิด,วิเคราะห์ความขัดแย้งต่างๆได้อย่างถูกต้องเป็นจริง     สามารถนำไปกำหนดเงื่อนไข  รูปแบบการเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นระบบ     เหมาเจ๋อตุงกล่าวว่า  เราจะเข้าใจสรรพสิ่งได้     ก็ต้องเข้าใจการเคลื่อนไหวพัฒนาของมัน ....เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวพัฒนาของมัน   ก็ต้องเข้าใจความขัดแย้งของมัน  นี่จึงเป็นบทสรุปของวิภาษวิธี     เพราะ   “วิภาษวิธีคือกระบวนการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง”     อย่างที่มาร์กซได้สอนไว้       


    

No comments:

Post a Comment