ลัทธิมาร์กซคืออะไร?
ลัทธิมาร์กซ,หรือลัทธิสังคมนิยมวิทยาศาสตร์เป็นชื่อเรียกองค์ความคิดที่คิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดย คาร์ล
มาร์กซ (1818-1883) และฟรีดริก เองเกลส์(1820-1895) ในส่วนทั้งหมดของมัน,ความคิดเหล่านี้ได้ตระเตรียมพื้นฐานทั้งมวลสำหรับการต่อสู้ของชนชั้นกรรมกร
เพื่อให้ได้มาซึ่งรูปแบบที่มีระดับสูงขึ้นไปอีกของสังคมมนุษย์
...นั่นคือระบอบสังคมนิยม
แนวความคิดของลัทธิมาร์กซ์ได้รับการพัฒนาในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และด้วยการผสานประสบ การณ์ทางประวัติศาสตร์ของชนชั้นกรรมกรเอง, แนวคิดพื้นฐานของมันไม่เคยสั่นไหวคลอนแคลน และยังเป็นรากฐานที่มั่นคงในการเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าก่อนหน้านี้,หรือตั้งแต่สมัยที่มาร์กซและเองเกลส์ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่เคยมีทฤษฎีวิทยาศาสตร์ใดๆที่สามารถอธิบายสัจธรรมของการเคลื่อนไหวพัฒนาของสังคมและบทบาทของชนชั้นกรรมกรได้ลึกซึ้งกว่า ดังนั้นความรู้ของลัทธิมาร์กซจึงเป็นเครื่องมือทางทฤษฎีสำหรับชนชั้นกรรมาชีพในการดำเนินภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงสังคม
คำอธิบายที่เป็นสัจธรรมซึ่งเป็นทัศนะคติทั้งหมดของลัทธิมาร์กซได้ถูกให้ร้ายโจมตีมาอย่างต่อเนื่องรุนแรง และถูกส่งต่อๆกันมาโดยพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแก้ต่างให้แก่ระบบสังคมที่ดำรงอยู่นี้.....จากนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมไปจนถึงพวกเสรีนิยม จากพวกพระเยซูอิตไปจนถึงพวกศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย การโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด,จริงจัง ที่พวกเขาได้กระทำกันมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ ยอมคำนึงถึงความถูกต้อง ซึ่งพอจะอนุมานได้สองประการคือ ประการแรก...บรรดาพวกที่แก้ต่างให้แก่ระบอบทุนนิยมตระหนักดีว่าลัทธิมาร์กซนั้นเป็นคู่แข่งที่อันตรายมากต่อระบบของพวกเขา และแทนที่จะยอมรับในสัจธรรมของมัน กลับตั้งหน้าตั้งตาต่อต้านโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ ประการที่สอง คือต้องการกลบฝังมันไว้ภายใต้การหลอกลวงและบิดเบือนใส่ร้ายกองมหึมา ชนิดที่ว่าอย่าให้มันได้โผล่ออกมาอีกตลอดกาล แต่กระนั้น..ทฤษฎีของมาร์กซและเองเกลส์กลับเจริญงอกงามขึ้นอย่างมั่นคงโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชั้นดินแห่งการเคลื่อนไหวในด้านแรงงาน และนับวันจำนวนของกรรมกรยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับภายใต้ผลกระทบจากวิกฤติการณ์ของระบอบทุนนิยม และพวกเขาต่างมีความมุ่งมั่นที่จะเสาะแสวงหาความหมายที่แท้จริงด้วยพลังของตนเองในการกำหนดชะตาชีวิตของพวกเขาเองอย่างมีจิตสำนึก
ทฤษฎีลัทธิมาร์กซได้ตระเตรียมความคิดและความเข้าใจไว้ให้แก่กรรมกร เป็นหัวหอกที่จะนำพาพวกเขาทะลุผ่านออกมาจากเหตุการณ์ที่วกวนของกระบวนการทางสังคม,เศรษฐกิจ,การต่อสู้ทางชนชั้น,และการเมืองที่มีความสลับซับซ้อน ด้วยการติดอาวุธทางปัญญาที่คมกริบนี้...ชนชั้นกรรมกรจึงสามารถตัดเงื่อนปมที่ผูกมัดพวกเขาทิ้งไป พาตัวเองและชนชั้นทั้งชนชั้นก้าวข้ามอุปสรรคที่ใหญ่หลวงไปสู่ความเจริญ ก้าวหน้า..อย่างทรนงองอาจ
แต่ยังคงมีอุปสรรคอีกหลายประการบนเส้นทางของการต่อสู้ของกรรมกรเกี่ยวกับปัญหาทางทฤษฎีและการทำความเข้าใจกับมัน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ชนชั้นกรรมกรไม่ค่อยจะมีความคุ้นเคยเหมือนอ่านหนังสืออ่านเล่น, กรรมกรทั้งหญิงและชายถูกบีบคั้นให้ทำงานตลอดเวลาในโรงงานอุตสาหกรรมและส่วนมากมักจะด้อยการศึกษา สิ่งที่ตามมาคืออุปนิสัยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือทำให้เป็นเรื่องยากที่จะซึมซับรับเอาแนวความคิดที่มีความซับซ้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเริ่มแรก สำหรับมวลชนกรรมกร มาร์กซและเองเกลส์ได้เขียนไว้ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างจะยากเสมอเมื่อเริ่มต้น” ไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เรากำลังพูดถึง ลัทธิมาร์กซนั้นมีความเป็นวิทยาศาสตร์...มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นศึกษา แต่กรรมกรทุกคนที่มีบทบาทในสหภาพแรงงานหรือพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพรู้ดีว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยปราศจากการต่อสู้และการเสียสละ
เมื่อลงมือศึกษาแล้วจะพบว่าทฤษฎีลัทธิมาร์กซนั้นโดยพื้นฐานแล้วมีความตรงไปไปตรงมาและเรียบง่าย....ที่มากไปกว่านั้นยังเน้นถึงความสำคัญไว้ที่มวลชนกรรมกรที่จะต้องเรียนรู้ด้วยความอดทนและด้วยความมานะพยายามในการทำความเข้าใจ เพื่อดัดแปลงตนเองให้เป็นนักทฤษฎี..มากกว่าที่จะเป็นแค่นักเรียน เพราะพวกเขาจะสามารถเข้าใจความคิดที่ไม่เพียงแค่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ยังจะสามารถเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตของตนเองในการทำงานของพวกเขาได้อีกด้วย
ปรัชญาลัทธิมาร์กซอธิบายถึงแรงขับเคลื่อนทางประวัติศาสตร์ว่า ไม่ได้มาจาก ”ผู้ยิ่งใหญ่” คนใด หรือจากสิ่งที่อยู่ ”เหนือธรรมชาติ” แต่อย่างใด หากแต่มาจากการพัฒนาของพลังการผลิตของพวกเขาเอง (อุตสาหกรรม,วิทยาศาสตร์,เทคโนโลยี ฯลฯ) เมื่อวิเคราะห์ให้ถึงที่สุดแล้ว...เศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดสถานภาพของชีวิต,ความเคยชิน และจิตสำนึกของมนุษยชาติ
การศึกษาลัทธิมาร์กซ
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ประการที่สำคัญของมันซึ่งมีความสอดคล้องกันอย่างกว้างขวางทั้งด้าน ปรัชญา, เศรษฐศาสตร์
และประวัติศาสตร์สังคม อันได้แก่
1. ปรัชญา
“วัตถุนิยมวิภาษ” และ “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์“
2. เศรษฐศาสตร์การเมือง
3. สังคมนิยม และการปฏิวัติ
ก่อนที่จะพูดถึงปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ เราจะมาทำความเข้าใจคำว่า “ปรัชญา” เสียก่อน โดยเฉพาะคำถามที่ว่าปรัชญาคืออะไร? ปรัชญาคือสรรพความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าศาสตร์สาขาต่างๆในขอบเขตที่กว้างขวาง
โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะอธิบายโลกธรรมชาติและมนุษย์ เท่านั้นยังไม่พอมาร์กซยังได้กล่าวไว้ว่า
“เราไม่เพียงแต่จะเรียนรู้โลกธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากเพื่อเปลี่ยน แปลงโลกด้วย” ปัญหาพื้นฐานของปรัชญาคือ ปัญหาที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างสรรพสิ่ง (Things) กับจิต(Ideal) หรือความคิด…..ความรู้ความเข้าใจต่อสิ่งที่
”มี” และ ”ไม่มี”… อะไรเกิดก่อนกันระหว่างจิต(ความคิด) และสสารวัตถุ
ต่อคำถามนี้ทำให้เกิดทัศนะขึ้นสองแนวทาง แนวทางหนึ่งคือพวกที่เห็นว่าจิตหรือความคิดเกิดก่อนวัตถุ จึงได้ชื่อว่าฝ่ายจิตนิยม กับอีกแนวคิดหนึ่งที่ยืนยันว่าวัตถุมาก่อนจิตหรือความคิด นักคิดกลุ่มหลังนี้จัดอยู่ในฝ่ายวัตถุนิยม ทัศนะอย่างแรกคือจิตนิยมนั้นเกิดขึ้นจากความไม่รู้,และความไม่เข้าใจต่อโลกธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายโลกและสรรพสิ่งได้อย่างที่มันเป็น พวกเขาจึงอธิบายสิ่งต่างๆบนพื้นฐานความคิดของตนเอง กระทั่งสรุปกันเอาเองถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า......สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลายนั้นจะต้องมีอำนาจลึกลับที่ยิ่งใหญ่กำกับอยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่ามนุษย์จะสามารถรู้เห็นและสัมผัสได้ แต่ก็สามารถรับรู้ถึงความมีอยู่ของอำนาจลึกลับยิ่งใหญ่นี้ได้ด้วยเหตุและผล (ของพวกเขา) จากวาทะกรรมที่ผ่านตรรกะ พลังอำนาจฝ่ายดีนั้นถูกเรียกว่าพระเจ้า..พลังที่ไม่ดีถูกเรียกว่า ปีศาจบ้าง ซาตานบ้าง ความคิดเช่นนี้คือความคิดจิตนิยม ถึงกระนั้นก็ดี..ความเชื่อแบบจิตนิยมยังดำรงอยู่มาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็โดยอาศัยศาสนาเป็นปัจจัย จึงมีคำกล่าวกันว่า “ปรัชญาจิตนิยมสามารถดำรงอยู่ได้โดยศาสนาและ ศาสนาจะอยู่ไม่ได้หากปราศจากจิตนิยม”
ต่อคำถามนี้ทำให้เกิดทัศนะขึ้นสองแนวทาง แนวทางหนึ่งคือพวกที่เห็นว่าจิตหรือความคิดเกิดก่อนวัตถุ จึงได้ชื่อว่าฝ่ายจิตนิยม กับอีกแนวคิดหนึ่งที่ยืนยันว่าวัตถุมาก่อนจิตหรือความคิด นักคิดกลุ่มหลังนี้จัดอยู่ในฝ่ายวัตถุนิยม ทัศนะอย่างแรกคือจิตนิยมนั้นเกิดขึ้นจากความไม่รู้,และความไม่เข้าใจต่อโลกธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายโลกและสรรพสิ่งได้อย่างที่มันเป็น พวกเขาจึงอธิบายสิ่งต่างๆบนพื้นฐานความคิดของตนเอง กระทั่งสรุปกันเอาเองถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า......สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลายนั้นจะต้องมีอำนาจลึกลับที่ยิ่งใหญ่กำกับอยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่ามนุษย์จะสามารถรู้เห็นและสัมผัสได้ แต่ก็สามารถรับรู้ถึงความมีอยู่ของอำนาจลึกลับยิ่งใหญ่นี้ได้ด้วยเหตุและผล (ของพวกเขา) จากวาทะกรรมที่ผ่านตรรกะ พลังอำนาจฝ่ายดีนั้นถูกเรียกว่าพระเจ้า..พลังที่ไม่ดีถูกเรียกว่า ปีศาจบ้าง ซาตานบ้าง ความคิดเช่นนี้คือความคิดจิตนิยม ถึงกระนั้นก็ดี..ความเชื่อแบบจิตนิยมยังดำรงอยู่มาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็โดยอาศัยศาสนาเป็นปัจจัย จึงมีคำกล่าวกันว่า “ปรัชญาจิตนิยมสามารถดำรงอยู่ได้โดยศาสนาและ ศาสนาจะอยู่ไม่ได้หากปราศจากจิตนิยม”
นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต ที่มีชื่อเสียงโดนเด่นเลื่องลือได้แก่ เพลโต และ เฮเกลล้วนแล้วแต่เป็นนักจิตนิยม สำนักคิดนี้มีความคิดว่า ธรรมชาติและประวัติศาสตร์เป็นการสะท้อนออกทางความคิดของจิตวิญญาณ ทฤษฎีที่ว่าทั้งหญิง ชาย และวัตถุสิ่งของทุกอย่างนั้นถูก”เนรมิต” ขึ้นโดยวิญญาณอันศักดิ์ สิทธิ์, นี่เป็นพื้นฐานความคิดของลัทธิจิตนิยม ทัศนะเช่นนี้ได้แสดงออกหลายทาง แต่รากฐานของมันคือความคิดที่ควบคุมการพัฒนาของโลกวัตถุ ประวัติศาสตร์จึงถูกอธิยายให้เป็นประวัติศาสตร์ของความนึกคิด จะเห็นได้ว่าการกระทำต่างๆของผู้คนเป็นผลมาจากความคิดที่เป็นแบบนามธรรม,ไม่ได้มาจากความจำเป็นทางวัตถุของพวกเขา แต่เฮเกลได้ก้าวล้ำไปอีกก้าวหนึ่ง..แต่ก็ยังเห็นคล้อยตามนักจิตนิยมที่ว่า ”ความคิด” เปลี่ยนไปสู่ "ความคิดอิสระ" ที่มีอยู่ภายนอกสมองและเป็นอิสระจากโลกของวัสดุ
หลักคิดของจิตนิยม
3 ประการ
1. จิตเกิดก่อนวัตถุ
2. วัตถุไม่ได้อยู่นอกเหนือไปจากความคิดของมนุษย์
3. ความคิด(จิต)เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง
ปรัชญาจิตนิยมเชื่อว่าจิตเท่านั้นที่เป็นความจริงอันสูงสุด(อันติมะ) วัตถุทั้งหลายคือสิ่งที่จิตคิดขึ้น.. (จิตนิยมอัตวิสัย) ส่วนธรรมชาติทั้งมวลล้วนเป็นผลิตผลของจิต และจิตนี้ไม่ใช่จิตหรือความคิดธรรมดา หากแต่เป็นจิตที่ สัมบูรณ์(absolute) มีความเป็นนิรันดร์ และอยู่นอกเหนือโลกธรรมชาติทั้งปวง(จิตนิยมภววิสัย)
นักจิตนิยมมักจะมองสรรพสิ่งอย่างตายตัวและใช้ความคิดความเชื่อของตนเป็นบรรทัดฐาน ดังนั้นแนว คิดหรืออุดมคติทางการเมืองของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คนเหล่านี้จึงหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง พยายามสร้างประวัติศาสตร์จากแนวคิดของตนเองแล้วยัดเยียดให้ผู้อื่นเชื่อ หรือต้องเชื่อ เมื่อใดที่มีคนออกมาโต้แย้ง คัดค้าน หรือกระทำผิดแผกไปจากแนวคิดหรือความเชื่อของพวกเขา..ก็จะถูกกล่าวหาใส่ร้ายต่างๆนานา ยิ่งมีมวลชนลุกขึ้นมาคัดค้าน..ก็จะแสดงทัศนะว่ามวลชนถูกปลุกปั่นยุยงจากศัตรูของพวกเขา หรือไม่ก็ “ถูกจ้างมา” ซึ่งเราเคยได้ยินกันมาตลอดในการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางเศรษฐกิจหรือการเมืองตลอดระยะที่ผ่านมา
องค์ประกอบที่ 1 วัตถุนิยม
และ วัตถุนิยมวิภาษ
ความคิดที่ควบคู่กันมาและเป็นด้านตรงกันข้ามกับจิตนิยมก็คือความคิดวัตถุนิยม คำว่า “วัตถุ”นั้นในทางปรัชญาหมายถึงวัตถุสสาร(Material) และในทางการเมืองหมายถึงการดำรงชีวิตทางวัตถุ ได้แก่การดำรงชีวิตในวิถีการผลิตทางวัตถุซึ่งก็คือการดำรงชีวิตทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจให้แจ่มชัดและต้องรู้เท่าทัน...เนื่องจากนักบิดเบือนทฤษฎีหรือพวกที่ชิงชังการเปลี่ยนแปลงได้พยายามบิดเบือนความหมายที่แท้จริงของวัตถุนิยมมานานแล้ว เรามักจะได้ยินคำอ้างอยู่เสมอว่านักวัตถุนิยมเป็นพวก หัวรุนแรง เอียงซ้าย โดยเฉพาะพวกคอมมิวนิสต์ที่เชื่อในปรัชญาวัตถุนิยมนั้นเป็นพวกที่เห็นแก่วัตถุ สนใจแต่บริโภคนิยม ไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและจริยธรรมที่ดีงามตามจารีตประเพณี มีจิตใจหยาบกระ ด้าง นิยมความรุนแรง และกล่าวหาใส่ร้ายต่างๆนานา
สิ่งที่พวกเขากล่าวหานั้นก็คือการใส่ร้ายบิดเบือนปรัชญาวัตถุนิยมด้วยการ เล่นลิ้นเล่นคำ เท่านั้นเอง ในความเป็นจริงพวกเขาต่างหากที่เป็นนัก นิยมวัตถุ เราสามารถพิสูจน์ได้จากการสะสมวัตถุของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง ที่ดิน รถยนต์ สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งปวงซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการคดโกง ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทั้งสิ้น
อีกด้านหนึ่งผู้ที่มีแนวคิดแบบวัตถุนิยม ยังคงยึดมั่นว่าโลกวัตถุนั้นเป็นของจริงและธรรมชาติหรือวัตถุนั้นมาเป็นอันดับแรก ปัญญาและความคิดนั้นเป็นผลิตผลของสมองที่ประมวลมาจากการได้สัมผัสวัตถุของอวัยวะรับสัมผัสต่างๆ ดังนั้นความคิดที่เกิดขึ้นในสมองก็คือขั้นตอนที่แน่นอนในพัฒนาการของสิ่งมี ชีวิต หลักการพื้นฐานของวัตถุนิยมมีดังต่อไปนี้
1. โลกของวัตถุ เราสามารถรับรู้ได้โดยความรู้สึกสัมผัสของเราเองและการค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสัจธรรม พัฒนาการของโลกขึ้นอยู่กับกฎเกณท์ทางธรรมชาติโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจที่เหนือธรรมชาติใดๆ มาสรรสร้างปรุงแต่ง
2. โลกนั้นเป็นโลกของวัตถุเพียงอย่างเดียว ความคิดเป็นผลผลิตของวัตถุ(สมอง)ไม่ได้เกิดขึ้นจากมโนคติใดๆ ดังนั้นความคิดหรือมโนคติใดๆจึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยแยกออกจากวัตถุ และ”จิต” หรือความคิดจึงไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยปราศจากวัตถุ โดยทั่วไปความคิดเป็นเพียงการสะท้อนโลกของวัตถุต่อตัวเรา มาร์กซเขียนไว้ว่า “ ความคิดไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าโลกของวัตถุที่สะท้อนขึ้นในใจของมนุษย์,และแปลออกมาเป็นความคิด” และต่อไปว่า “ชีวิตทางวัตถุของสังคมเป็นตัวกำหนดจิตสำนึก”
พวกจิตนิยมเชื่อว่าจิตสำนึกเกิดขึ้นจากภายในไม่ใช่จากภายนอก และไม่เห็นด้วยในเรื่องวัตถุตลอด จนถึงเรื่องธรรมชาติ ความเห็นที่ต่างไปนี้เป็นเรื่องที่ผิดและไม่เป็นความจริง มันมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดระหว่างกฎเกณฑ์ทางความคิดและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติเพราะสิ่งที่มาก่อนนั้นจะสะท้อนถึงสิ่งที่มาทีหลัง(เหตุและผล) ความคิดไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากตัวของมันเอง, หากแต่เกิดขึ้นจากโลกภายนอก แม้ว่าความคิดที่เป็นนามธรรมส่วนมากจะเป็นความจริง,แต่ก็เกิดขึ้นหลังจากการเฝ้าสังเกตุโลกวัตถุภายนอกตัวเรา ดังนั้น “การคิดจึงไม่ได้หมายถึงการผลิตมโนภาพขึ้นมาจากความว่างเปล่า” และก็เช่นเดียวกันกับที่เลนินได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อวัตถุสัมผัสกับอวัยวะรับรู้ของเราก็จะเกิดความรู้สึกขึ้น ความรู้สึกขึ้นอยู่กับสมอง;ระบบประสาท;เยื่อตา;ฯลฯ วัตถุเป็นสิ่งแรก ความรู้สึก ความคิด คือผลผลิตขั้นสูงสุดของวัตถุ เหล่านี้คือลัทธิวัตถุนิยม ”
รากฐานของวัตถุนิยม
“ถิ่นกำเนิดลัทธิวัตถุนิยมสมัยใหม่” เองเกลส์เขียนไว้ว่า “จากศตวรรษที่ 17
เป็นต้นมาคืออังกฤษ”
ในยุคนั้น...บรรดาพวกขุนนางศักดินาและระบบกษัตริย์แบบดั้งเดิมได้มีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันเนื่องจากการถือกำเนิดขึ้นของชนชั้นกลาง ปราการสำคัญของศักดินาได้แก่ศาสนจักรโรมันคาธอลิก.....ภายใต้เงื่อนไขว่าเป็นสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์และทรงความยุติธรรมของระบอบกษัตริย์และขุนนางศักดินากำลังถูกบ่อนเซาะทำลายก่อนที่จะมีการโค่นระบอบศักดินา
ชนชั้นนายทุนที่กำลังเติบใหญ่ได้ท้าทายต่ออำนาจความศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพื้นฐานของความคิดเก่า
ชนชั้นกลางได้ดำเนินการฟื้นฟูความรู้ทางวิทยาศาสตร์เช่น ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ ฟิสิคส์ กายวิภาค ปรัชญา ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตผลทางอุตสาหกรรมของชนชั้นนายทุน ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้วิทยาศาสตร์ที่มีการตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพของวัสดุและความเป็นไปในพลังของธรรมชาติ ถึงตอนนี้วิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจของลัทธิศาสนา,ไม่ได้รับอนุญาตให้ล้ำขอบเขตที่ถูกกำหนดโดยความศรัทธา(ในพระเจ้า) ด้วยเหตุนี้(การศึกษา)วิทยาศาสตร์จึงถูกระงับไปโดยสิ้นเชิง(ในศตวรรษที่ 17 กาลิเลโอได้ทำการพิสูจน์ความจริงในทฤษฎีของโคเปอร์นิคุส ที่ว่าด้วยโลกและดาวเคราะห์ต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์) พวกศาสตราจารย์ทั้งหลายในเวลานั้นต่างหัวเราะเยาะความคิดนี้....ใช้อำนาจเข้าชื่อกันไต่สวนความผิดของกาลิเลโอและบังคับให้กลับความเห็นเสียใหม่) “วิทยาศาสตร์กบฏต่อศาสนจักร. แต่นายทุนไม่สามารถดำเนินงานได้โดยปราศจากวิทยาศาสตร์..ดังนั้นจึงจำเป็นเข้าร่วมการกบฎ.”.....เองเกลส์
ในช่วงเวลานี้ ฟรานซิส เบคอน(1561-1626) ได้พัฒนาแนวคิดที่ปฎิวัติของลัทธิวัตถุนิยม ตามที่เขาเคยคิดว่าความรู้สึกเป็นแหล่งที่มาของความรู้ที่แน่นอนทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง วิทยาศาสตร์ทั้งมวลล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ทั้งสิ้น, และมีข้อมูลภายในที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งสามารถจะสืบเสาะได้โดยการ ;อุปนัย* ; วิเคราะห์ ; เปรียบเทียบ ; เฝ้าสังเกตและทดลอง
โธมัส
ฮอพส์ (1588-1679) ได้พัฒนาวัตถุนิยมของเบคอนที่ทิ้งเอาไว้ให้เป็นระบบขึ้นในเวลาต่อมา
เขาตระหนักดีว่าความคิดและมโนคติเป็นการสะท้อนออกถึงโลกวัตถุและ "เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกความคิดออกจากวัตถุสสารที่เราคิด” ต่อมา จอห์น ล๊อค (1632-1704) นักคิดชาวอังกฤษได้ยอมรับปรัชญาลัทธิวัตถุนิยม ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าความคิดเกิดขึ้นจากประสบการณ์ โดยให้ตัวอย่างที่มนุษย์สร้างโต๊ะขึ้นก็เพราะว่ามีประสบการณ์ในการนั่งบนขอนไม้หรือแผ่นหินมาก่อน แนวคิดนี้ภายหลังได้พัฒนาไปเป็นลัทธิ “ประสบการณ์นิยม”
สำนักปรัชญาวัตถุนิยมได้ขยายผ่านจากอังกฤษไปยังฝรั่งเศส ได้รับการยอมรับและพัฒนาให้รุดหน้าไปอีกโดย เรเน เดคาร์ท(1596-1650) และบรรดาสานุศิษย์ของท่าน นักวัตถุนิยมชาวฝรั่งเศสเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่จำกัดตัวเองไว้แค่การวิพากษ์ศาสนาเท่านั้น, แต่ยังขยายไปถึงสถาบันต่างๆและแนวแนวคิดอื่นๆอีกด้วย การแข่งขันกันในเรื่องนี้ในนามของเหตุผล.. และเป็นเสมือนดินระเบิดสำหรับการพัฒนา การดิ้นรนต่อสู้ของชนชั้นนายทุนกับสถาบันกษัตริย์อีกด้วย การถือกำเนิดของการปฏิวัติใหญ่ของชน ชั้นนายทุนในฝรั่งเศสเมื่อปี 1789-93 ก็ได้รับจากพื้นฐานความเชื่อมาจากปรัชญาวัตถุนิยม
การปฏิวัติในฝรั่งเศสนั้นได้ดำเนินควบคู่กันไปกับการทำลายระเบียบเก่าของศักดินาลงไปอย่างสิ้นเชิง ภายหลังเองเกลส์ ได้ชี้ให้เห็นว่า “ทุกวันนี้เราได้รู้แล้วว่า...อาณาจักรของเหตุผลนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นที่นอกเหนือไปจากอาณาจักรแห่งความเพ้อฝันของพวกนายทุน ”
อย่างไรก็ตามจุดอ่อนในลัทธิวัตถุนิยมของเบคอนคือมีลักษณะที่ตายตัว อธิบายธรรมชาติแบบกลไก ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สำนักปรัชญาวัตถุนิยมในอังกฤษจะมีความเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในศตวรรษที่
18...เมื่อไอแซค นิวตัน ได้ทำให้ “ กลศาสตร์” เป็นสิ่งที่ก้าวหน้าและมีความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ เองเกลส์กล่าวว่า “ขอบเขตที่จำกัดของวัตถุนิยมชนิดนี้อยู่ที่ไม่มีความสามารถเข้าถึงจักรวาลและกระ บวนการของมัน,ว่าวัตถุได้ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายมาแล้วในประวัติศาสตร์”
การปฏิวัติฝรั่งเศสมีอิทธิพลต่ออารยะธรรมของโลกสมัยใหม่อย่างลึกซึ้ง คล้ายกับการปฏิวัติรัสเซียเมื่อปี 1917 ความคิดที่ปฏิวัติได้ซึมซ่านเข้าไปในทุกๆขอบเขตม่ว่าในทางการเมือง ปรัชญา วิทยาศาสตร์และศิลปะ การบ่มเพาะความคิดจากการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนได้เปิดโอกาสให้แก่ความ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ธรณีวิทยา พฤกษศาสตร์ เคมี เท่าๆกับเศรษฐศาสตร์การเมือง
มันเป็นช่วงเวลาของการวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นแบบวัตถุนิยมกลไก อิมมานูเอล ค้านท์
(1724-1804) นักปรัชญาชาวเยอรมันได้ประสบความสำเร็จครั้งแรกที่ต่างไปจากกลศาสตร์แบบเก่าด้วยการค้นพบว่า
โลกและระบบสุริยะไม่ได้เป็นเช่นนี้ไปชั่วนิรันดร์ หลักการนี้ได้ถูกประยุกต์
ไปใช้กับ ภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา พืช และสัตว์ ความคิดที่ปฏิวัติของค้านท์นี้ได้ถูกพัฒนาให้กว้างขวางและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นโดย
เกอ๊อค เฮเกล (George Hegel--1770-1831) นักคิดชาวเยอรมัน เฮเกลเป็นนักปรัชญาจิตนิยม,ที่เชื่อว่าโลกสามารถอธิบายได้โดยการแสดงออกหรือเป็นสิ่งสะท้อนของ”จิตสัมบูรณ์”หรือความคิดสัมบูรณ์
ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของพระเจ้า
จากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้เขาค้นพบว่า..นจักรวาลทุกสิ่งทุกอย่างมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยน แปลง และทุกสิ่งมีความสัมพันธ์กันไม่อาจแยกออกจากกันได้ แม้แต่ความคิดซึ่งเป็นนามธรรมก็มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่ต้องผ่านไปตามขั้นตอนโดยเริ่มต้นจาก บทตั้ง (thesis) ไปสู่บทแย้ง(anti-thesis)และนำไปสู่ บทสรุป(synthesis) เขาเรียกวิธีการนี้ว่า"วิภาษวิธี”หรือไดเล็คติค (dialectic) เฮเกลมีทัศนะต่อสรรพสิ่งว่า “มีการพัฒนา ที่ดูเหมือนว่าจะซ้ำซากวนเวียนเป็นเกลียว ไม่ได้อยู่ในแนวราบ มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด การสูญสลาย การเปลี่ยนแปลงโดยรากฐาน (ปฏิวัติ) การแตกตัวอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงจากปริมาณไปสู่คุณภาพ โดยแรงกระตุ้นภายในก่อให้เกิดการพัฒนาซึ่งเผยให้เห็นถึงความขัดแย้งและความแตกต่างของพลังหลายชนิด และเป็นแนวโน้มของการเกิดรูปลักษณ์หรือทำให้เกิดปรากฏการณ์"
แต่เฮเกลไม่ได้มองว่าโลกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ,แต่เป็นเหตุการณ์ที่นักปรัชญาได้ครุ่นคิดใคร่ครวญกันมานานแล้ว เขาใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือวัดโลกอธิบายประวัติศาสตร์ตามความรู้สึกนึกคิดของตนว่าเป็นประวัติศาสตร์แห่งความคิด
โลกทั้งมวลคือโลกของความนึกคิด เป็นโลกของมโนคติ
ดังนั้น..สำหรับเฮเกลแล้ว..ปัญหาและความขัดแย้งจึงไม่ใช่เงื่อนไขที่แท้จริงหากแต่มันเป็นเพียงรูปแบบของความคิด.. ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่ความคิดแทนการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมด้วยการต่อสู้ทางชนชั้น แต่มาร์กซเห็นว่า “กระบวนการทางวิภาษวิธี คือการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่เกิดจากความขัดแย้ง”
ดังนั้น..สำหรับเฮเกลแล้ว..ปัญหาและความขัดแย้งจึงไม่ใช่เงื่อนไขที่แท้จริงหากแต่มันเป็นเพียงรูปแบบของความคิด.. ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่ความคิดแทนการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมด้วยการต่อสู้ทางชนชั้น แต่มาร์กซเห็นว่า “กระบวนการทางวิภาษวิธี คือการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่เกิดจากความขัดแย้ง”
แม้ว่า..เฮเกลได้ค้นพบวิธีใหม่และวิเคราะห์กฎของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังยึดแนวทางจิตนิยม ดังนั้นวิภาษวิธีของเขาจึงไม่สามารถเปล่งประกายได้จนถึงที่สุด และยังถูก วิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาสานุศิษย์ของเขาที่นำโดย ลุดวิก ฟอยเออร์บัค( Ludwig Feuerbach 1804-1872) ที่พยายามแก้ไขและนำกลับไปสู่รากเดิมของระบบปรัชญาวัตถุนิยมโดยสรุปว่า “ความคิดหรือจิตเกิดจากสิ่งที่มีตัวตน(Being) มิใช่สิ่งที่มีตัวตนเกิดจากความคิด “ และยังวิพากษ์ ”พระเจ้า” ว่า “พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่สร้างพระเจ้าขึ้นมาในจินตนาการของตน “ แต่ก็ไม่สามารถลบล้างทัศนะจิตนิยมของลัทธิเฮเกลออกไปได้ เพราะวัตถุนิยมของฟอยเออร์บัคยังมีลักษณะที่เป็นกลไก ภาระนี้ได้ตกทอดมาถึงมาร์ซ และเองเกลส์...ที่สามารถช่วยให้ปรัชญาวัตถุนิยมหลุดพ้นจากเปลือกหุ้มอันลี้ลับนี้ได้ วิภาษวิธีของเฮเกลได้ถูกหลอมเข้ากับวัตถุนิยมสมัยใหม่ซึ่งเป็นการนำไปสู่ความเข้าใจถึงลักษณะปฏิวัติของ “ลัทธิวัตถุนิยมวิภาษ”
เราจึงพอจะสรุปสาระสำคัญของวัตถุนิยมก่อนมาร์กซได้ดังนี้
1 ที่สรรพสิ่งเคลื่อนไหวได้เป็นเพราะสาเหตุจากภายนอกโดยมีแรงจากภายนอกมากระทำ ที่เป็นเช่นนี้เพราะได้รับอิทธิพลจากวิชากลศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นในยุโรปขณะนั้น(เครื่องจักรไอน้ำ)
2 สรรพสิ่งย่อมไม่เปลี่ยนแปลง มีสภาพอยู่เช่นไรก็จะคงสภาพอยู่เช่นนั้น
3
สรรพสิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ต่างดำรงอยู่ด้วยตัวมันเอง
ดังนั้นวัตถุนิยมก่อนมาร์กซจึงไม่สามารถใช้ทฤษฎีของตนมาตีความกระบวนการทางสังคมได้อย่างถูก
ต้อง
พวกเขาเห็นว่าการที่สังคมเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่มีระดับสูงกว่านั้นเป็นเพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์(เพราะยังไม่เข้าใจความขัดแย้งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนา)
metaphysics (อภิปรัชญา)
คำว่า
(metaphysics) มาจากคำสองคำ คือ meta
ที่แปลว่า ใหญ่ หรือ นอกเหนือ และ physics ที่หมายถึง ความรู้ในธรรมชาติ วิทยาศาสตร์
เชื่อกันว่าถือกำเนิดขึ้นในกรุงโรมเมื่อประมาณ
70 ปีก่อนคริสตกาลโดย อันโดรนิคุส แห่ง โรดส์
นักปรัชญาชาวกรีกที่จาริกไปยังโรมและได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับงานนิพนธิ์ของ อริสโตเติล โดยคัดแยกรวบรวมบทความรุ่นแรกๆของอริสโตเติลไว้เป็นหมวดหมู่เรียกว่า “ปรัชญาชั้นหนึ่ง” (First
Philosophy) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทววิทยา ตามมาด้วยหมวดที่เกี่ยวกับ ”วิทยาศาสตร์”(Physics) ดังนั้นปรัชญาชั้นหนึ่งนี้ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในนาม เมตาฟิสิคส์ หรือมีนัย ว่าเหนือกว่าชุดฟิสิคส์
ซึ่งกินความหมายกว้างขวางมากและมีอิทธิพลครอบงำความคิดของนักปราชญ์ในยุโรปมานับเป็นพันปี ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้อ้างอิง
อธิบาย.เรื่องราวทั้งหลายซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบทั่วในการตรวจสอบสัจธรรม ถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า ”อภิปรัชญา” ดังนั้นจึงมักจะเข้าใจกันว่าเป็นปรัชญาที่ยิ่งใหญ่สุดยอดของปรัชญาที่เหนือกว่าปรัชญาใดๆตามความหมายของศัพท์ เนื่องจากการต่อสู้กันระหว่างแนวคิดจิตนิยมกับวัตถุนิยมที่ดำเนินมานาน ทำให้นักปรัชญากลุ่มหนึ่งพยายามจะประนีประนอมโดยผสมผสานความคิดและหลักการของจิตนิยมและวัตถุนิยมกลไกเข้าด้วยกันและเรียกว่า เมตาฟิสิคส์ โดยมีหลักการดังนี้
1 สรรพสิ่งนั้นดำรงอยู่อย่างไรก็จะเป็นอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง หากจะเปลี่ยนแปลงก็เป็นเพียงการเพิ่มขึ้นหรือลดลงทางปริมาณเท่านั้น และการเปลี่ยนแปลงของมันเกิดจากเหตุภายนอกมากระทบเช่นแรงและปัจจัยทางธรรมชาติอื่นๆ (เนื่องจากไม่เข้าใจความขัดแย้งภายใน)
2 สรรพสิ่งไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ต่างแยกกันดำรงอยู่โดยสิ้นเชิง
3 สิ่งที่ขัดแย้งกันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ต้องขจัดด้านใดด้านหนึ่งออกไป
จากหลักการเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า อภิปรัชญาไม่เข้าใจถึงความขัดแย้งภายในที่เป็นสาเหตุหลักของการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง และแน่นอนการเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยปัจจัยภายนอกเป็นองค์ประประกอบด้วย อภิปรัชญาไม่เข้าใจว่าสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กันทั้งทางตรงและทางอ้อม เลนิน กล่าวไว้ว่า”.....ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นๆนั้นเป็นเงื่อนไขของการดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้นๆ” อภิปรัชญายังไม่เข้าใจถึงความขัดแย้งภายในที่เป็นเอกภาพกันหรือการดำรงอยู่ร่วมกันของความขัดแย้ง หรือ เอกภาพวิภาษ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของวิภาษวิธี
ความคิดแบบเมตาฟิสิคส์หรือแบบสามัญสำนึกนั้น เพียงพอต่อการคาดคะเนอย่างพื้นๆสำหรับจุดมุ่ง หมายในชีวิตประจำวันแต่มันมีข้อจำกัด และนอกเหนือจากนั้นการใช้สามัญสำนึกอาจทำให้ความเป็นจริงกลับตาลปัตรได้ พื้นฐานที่บกพร่องทางความคิดเช่นนี้ทำให้ขาดพลังในการเข้าใจการเคลื่อน ไหวและการพัฒนาของสรรพสิ่ง เมตาฟิสิคส์ยังปฏิเสธความขัดแย้งอีกด้วย
เองเกลส์ได้บรรยายไว้ในบทนิพนธิ์ แอนตี้ ดือห์ริ่ง ของท่านเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของแนวคิดแบบเมตาฟิสิคส์ว่า..“สำหรับนักเมตาฟิสิคส์ พวกเขาได้สะท้อนความคิดที่ว่าวัตถุและจิต(ความคิด)แยกออกจากกัน และการพิจารณาสรรพสิ่งแบบก่อนและหลังโดยไม่มีความสัมพันธ์กัน เป็นเพียงการตรวจสอบวัตถุแบบ ยึดติด ตายตัว สรุปเพียงครั้งเดียวถือว่าสิ้นสุด สำหรับพวกเขาแล้ว คิดว่ามันเป็นบทแย้งที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ไม่ว่ามันจะดำรงอยู่หรือไม่ก็ตาม ในเวลาเดียวกันตัวสรรพสิ่งเองไม่สามารถแปรเปลี่ยนไปสู่สิ่งอื่นได้ ส่วนที่เป็นบวกและลบนั้นแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง เหตุและผลล้วนแต่เป็นสิ่งตรงกันข้ามกันอย่างตายตัว”
สรุปทัศนะของอภิปรัชญาก็คือ เป็นทัศนะในการมองสรรพสิ่งแบบด้านเดียว หยุดนิ่ง มองเห็นแต่ปรากฎการณ์ภายนอกไม่เห็นธาตุแท้ของสรรพสิ่ง นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นกลไกของอภิปรัชญา พวกเขายังใช้ทัศนะของจิตนิยมประวัติศาสตร์มาอธิบายเรื่องชนชั้นในสังคม การกดขี่ขูดรีด ความยากจน ฯลฯ โดยการยอมรับสังคมที่มีชนชั้น มีการกดขี่ขูดรีด และจะสรุปว่าสิ่งเหล่านี้มีมาเนิ่นนานแล้วและยังคงจะมีอยู่ต่อไปตราบใดที่มนุษย์ยังเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ นี่ก็แสดงว่าไม่ได้คำนึงถึงสาเหตุที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นและดำรงอยู่โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงมัน
วิภาษวิธี
เราเคยรู้แล้วว่าลัทธิวัตถุนิยมสมัยใหม่เป็นแนวคิดที่เห็นว่า วัตถุเป็นสิ่งมาก่อน และจิตหรือความคิดนั้นเป็นผลผลิตของสมอง แต่อะไรคือวิภาษวิธี? ซึ่งมาร์กซได้ให้คำจำกัดความว่า
“วิภาษวิธีคือกระบวน การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง” เองเกลส์ได้ขยายความให้กว้างขึ้นว่า “วิภาษวิธีไม่ใช่อะไรอื่นที่นอกเหนือไปจากกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ของการเคลื่อนไหวและพัฒนาของธรรมชาติ..สังคม..และความคิด”
วิธีคิดแบบวิภาษวิธีนั้นมีมาแล้วอย่างยาวนานก่อนที่ มาร์กซและเองเกลส์จะพัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ในการทำความเข้าใจถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ ชาวกรีกโบราณได้ให้กำเนิดนักคิดวิภาษวิธีผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอย่างมากมาย รวมถึง เพลโต เซนอน และอริสโตเติ้ล เมื่อ500 ปีก่อนคริสตศตวรรษ เฮราคลิตุส มีความคิดที่ก้าวหน้าเห็นว่า “ทุกสิ่งมีและไม่มี มันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความคงที่เปลี่ยนแปลงไป ความคงที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป” และต่อไปอีกว่า “สรรพสิ่งทั้งหลายเคลื่อนไหว..เปลี่ยนแปลง มันเป็นไปไม่ได้ที่กระแสน้ำเดียวกันจะไหลผ่านไปได้ถึงสองครั้ง” ข้อความเหล่านี้บ่งแสดงถึงทัศนะคติพื้นฐานของวิภาษวิธีที่ทุกสิ่งในธรรมชาติมีสภาวะที่แน่นอนในการเปลี่ยน แปลง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายไป วิธีคิดแบบวิภาษวิธีเมื่อเปรียบเทียบกันทางด้านพื้นฐานกับเมตาฟิสิคส์แล้วก็เหมือนกับภาพยนตร์กับภาพนิ่ง ไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดในวัตถุประสงค์ แต่มีความเป็นจริงมากกว่า ประมาณการในความเป็นจริงได้ใกล้เคียงกว่า
หลักใหญ่ 4 ข้อของวิภาษวิธีโดยสังเขป
1 สรรพสิ่งมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง จากปริมาณไปสู่คุณภาพ
2 สรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กัน(ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม) ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว
3 สรรพสิ่งมีความขัดแย้ง
4 ความขัดแย้งภายในเป็นสาเหตุ ส่วนความขัดแย้งภายนอกเป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลง: ที่เป็นแบบวิภาษวิธีนั้นได้แก่กระบวนการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ ไม่ขึ้นต่อความต้องการหรือเป็นไปตามการกระทำของมนุษย์ ตัวอย่างเช่นการตัดไม้มาทำเฟอร์นิเจอร์ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างวิภาษวิธี เพราะเกิดขึ้นโดยความประสงค์ของมนุษย์ แต่การที่เมล็ดข้าวงอกนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งภายในเมล็ดข้าวเอง และปัจจัยภายนอกที่เหมาะสมเช่นดิน น้ำ อุณหภูมิ ความชื้น ฯลฯ ไม่มีใครสามารถบงการมันได้ ว่าให้มันหยุดงอกหรืออื่นๆ การงอกของเมล็ดข้าวจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ วิภาษวิธี
การสะสมปริมาณไปสู่คุณภาพ
การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบอื่นเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะชี้ขาด....เองเกลส์
แนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่รูปแบบของการเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติและสังคมนั้นมีแต่วิภาษวิธีของลัทธิมาร์กซเท่านั้นที่สามารถอธิบายได้
ภาพโดยทั่วไปของการวิวัฒนาการนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นไปอย่างสันติ,ราบเรียบและพัฒนาไปโดยไม่มีอุปสรรคใดๆนั่นเป็นเพียงด้านเดียวและไม่ถูกต้อง ในทางการเมืองเรียกว่า“ทฤษฎีค่อยเป็นค่อยไป” ซึ่งพื้นฐานทางทฤษฎีของมันก็เพื่อค้ำจุนระบอบปฏิรูป เนื่องจากจริยธรรมของระบอบปฏิรูปเป็นการยอมรับชะตากรรม
”อย่างสันติ” มันจึงเป็นสาเหตุของการสะสมความชั่วร้ายเลวทรามทางสังคม
เช่นการกดขี่เอารัดเอาเปรียบและความไม่เป็นธรรมในสังคมที่มีชนชั้น
จริยธรรมนี้จึงเป็นประโยชน์แก่ชนชั้นปกครองเท่านั้น แต่วิภาษวิธีก็ไม่ได้ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณอย่างค่อยเป็นค่อยไป(การปฏิรูป) แต่ได้ตระหนักเป็นอย่างยิ่งถึงการสะสมปริมาณที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพอย่างก้าวกระโดดด้วย
อย่างไรก็ตามเฮเกลได้พัฒนาแนวคิดเรื่อง ”จุดวัดความสัมพันธ์” ที่มีขอบเขตอยู่ที่จุดๆหนึ่งของจำนวน ปริมาณที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงที่จะส่งผลให้เกิดสภาวะก้าวกระโดด ตัวอย่างเช่นกรณีให้ความร้อนแก่น้ำและให้จุดเดือดและจุดเยือกแข็งเป็นจุดกำหนด ภายใต้แรงดันปกติ,การก้าวกระโดดเข้าสู่สภาวะใหม่จะเกิดขึ้นเป็นกลุ่มก้อนไม่กระจัดกระจาย และในที่สุดปริมาณก็จะเปลี่ยนแปลงไปสู่คุณภาพ
ดังนั้นจากตัวอย่างข้างบนนี้,การเปลี่ยนแปลงของน้ำจากสภาวะของเหลวไปเป็นไอ หรือเป็นน้ำแข็งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการค่อยเป็นค่อยไปหรือเกิดขึ้นอย่างกระจัดกระจาย แต่จะเกิดขึ้นทันทีเมื่ออุณหภูมิอยู่ที่ 0°C หรือ100°C การสะสมทำให้เกิดการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงเป็นจำนวนมากในความเร็วระดับโมเล กุล ในที่สุดก็ทำให้เกิดขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงจากปริมาณไปสู่คุณภาพ
ความขัดแย้ง: คือความไม่เหมือนกันหรือความแตกต่างกันของสรรพสิ่งรอบตัวเรา
มันดำรงอยู่และเกิดขึ้น ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของสรรพสิ่ง
ความขัดแย้งสองชนิด
1) คือความขัดแย้งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงในธรรมชาติได้แก่ความขัดแย้งทางความคิด ในทางปรัชญาถือว่าเป็นความขัดแย้งทางอัตวิสัยคือคิดต่างกัน
ความขัดแย้งชนิดนี้ ไม่ถือว่าเป็นความขัดแย้งแบบวิภาษวิธี
2) คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายในสรรพสิ่ง ความขัดแย้งชนิดนี้จะดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ ไม่ขึ้นกับสิ่งใด ไม่มีใครสามารถบงการมันได้ เช่นการงอกของเมล็ดพืชที่เกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งระหว่างตัวชีวิตที่เป็นกระบวนการทางชีวะ-เคมีกับเปลือกหุ้มเมล็ด การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตก็ดี การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดจากความขัดแย้งทางชนชั้นก็ดี ถือว่าเกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายใน และแน่นอนย่อมต้องอาศัยองค์ประกอบภายนอกอื่นๆอีกด้วย ความขัดแย้งชนิดนี้แหละที่เป็นความขัดแย้งที่เป็น“วิภาษวิธี” ความขัดแย้งภายในนั้นประกอบด้วยด้านสองด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกันแต่ดำรงอยู่ด้วยกันภายในสิ่งหรือปรากฏการณ์เดียวกัน เรียกว่าเอกภาพของด้านตรงกันข้าม หรือ เอกภาพวิภาษ ซึ่งมีสองลักษณะสองด้านดังนี้
ด้านแรก: คือด้านที่ประนีประนอมกันอาศัยซึ่งกันและกัน แสดงถึงการที่มันอาศัยด้านตรงกันข้ามของมันเป็นเงื่อนไขในการดำรงอยู่และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน
หากขาดด้านใดด้านหนึ่งตัวมันเองก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เช่นความไม่รู้กับความรู้เป็นต้น
ด้านที่สอง: คือด้านที่ต่อสู้กัน ทำให้กระบวนการที่พัฒนาอยู่ชะงักลงชั่วคราว(
หยุดสู้กัน) แต่เมื่อด้านใดแข็งแรงกว่า..มีอิทธิพลมากกว่ามันก็จะครอบงำด้านที่อ่อนแอกว่า การที่มันมีอิทธิพลครอบงำเช่นนี้จะทำให้การพัฒนาเคลื่อนต่อไปสู่คุณภาพใหม่และความขัดแย้งใหม่ๆต่อไป
ที่สำคัญคือด้านทั้งสองของความขัดแย้งที่อยู่ตรงกันข้ามกันนั้น จะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือเกือบจะพร้อมกัน มีความความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก และเกิดขึ้นใน ”สิ่ง” หรือ”ปรากฏการณ์”เดียวกันด้วย เรียกว่าเอกภาพของด้านตรงกันข้าม หรือเอกภาพวิภาษ เป็นกระบวนการสำคัญของการเปลี่ยนแปลงจากปริมาณไปสู่คุณภาพของสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นไปอย่างฉับพลันหรืออย่างที่เรียกว่า”ก้าวกระโดด”
เมื่อเราเข้าใจลักษณะของเอกภาพวิภาษแล้ว จะทำให้เราสามารถพัฒนาความคิด,วิเคราะห์ความขัดแย้งต่างๆได้อย่างถูกต้องเป็นจริง สามารถนำไปกำหนดเงื่อนไข รูปแบบการเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นระบบ เหมาเจ๋อตุงกล่าวว่า เราจะเข้าใจสรรพสิ่งได้ ก็ต้องเข้าใจการเคลื่อนไหวพัฒนาของมัน ....เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวพัฒนาของมัน ก็ต้องเข้าใจความขัดแย้งของมัน นี่จึงเป็นบทสรุปของวิภาษวิธี เพราะ “วิภาษวิธีคือกระบวนการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง” อย่างที่มาร์กซได้สอนไว้
No comments:
Post a Comment