ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์
ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์นั้น.....กล่าวในแง่ของการพัฒนาการมิได้เกิดจากการศึกษาเพียงอย่างเดียวแต่เกิดจากการต่อสู้คัดค้านความคิดบางอย่างที่ตกทอดมาช้านานซึ่งเป็นความคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ติดตาม
วิเคราะห์สถานการณ์และจัดการกับปัญหาได้อย่างถูกต้องเท่านั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องใช้ประกอบกันคือการนำความรู้ความคิดที่ได้มานั้นไปปฏิบัติ ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยจิตใจที่กล้าต่อสู้
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับเรื่องต่างๆตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ
1.การคัดค้านความคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
2.ท่าทีที่เป็นวิทยาศาสตร์
3.วิธีปฏิบัติที่เป็นวิทยาศาสตร์
4.ลักษณะความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์
5.หลักคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์
1.การคัดค้านความคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ความคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์มี
4 ประการคือ
1.1 ความคิดที่ยึดถือประเพณี
สังคมไทยยังเป็นสังคมที่อุดมไปด้วยประเพณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประเพณีที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของวัฒนธรรมศักดินา
แม้ว่าสังคมเช่นเช่นนั้นจะเสื่อมสลายไปแล้วแต่ความคิดและวัฒนธรรมในการกดขี่ของมันยังถูกสืบทอดและครอบงำสังคมมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
มันเป็นสังคมที่ยึดถือประเพณีเป็นหลัก..อ้างประเพณีในการให้เหตุผลมากเสียยิ่งกว่าเหตุผลที่แท้จริงเสียอีก
ดังนั้นเราจะต้องคัดค้านความคิดที่ไร้เหตุผลเช่นนี้และมันแสดงออกมาในลักษณะต่างๆดังนี้
ก) ความคิดที่ยึดถือเอาเทศกาลหรือวันสำคัญต่างๆ(ที่ชนชั้นปกครองกำหนด)เป็นสำคัญ คนที่ยึดถือประเพณีนี้จะผูกมัดชีวิตของตนอยู่กับวัน(ที่คิด)ว่าสำคัญอยู่เพียงไม่กี่วันโดยละเลยต่อชีวิตประจำ
วันซึ่งเป็นเครื่องกำหนดความเป็นอยู่ที่แท้จริงของเขา ที่แล้วๆมา..บางคนยอมทนกับความยากลำบากเป็นเวลาหลายๆวันเพียงเพื่อจะสนองต่อความต้องการของตนเองว่าเป็นความสุขเพียงวันเดียวอย่างที่อ้างกันว่าปีหนึ่งมีหนเดียวเท่านั้น โดยไม่ได้ฉุกคิดเลยว่ากว่าจะถึงวันนั้นต้องยุ่งยากเตรียม การอยู่หลายวัน
นี่คือลักษณะการดำเนินชีวิตประจำวันที่ขึ้นอยู่กับวันเทศกาล
ข)
ความคิดที่เน้นการทำซ้ำซาก จำเจ อันเป็นบ่อเกิดของลัทธิขุนนาง ลัทธิธุรการ
เช่นทำอะไรก็จะทำเรื่อยๆไปจนเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้เกิดความกลัวต่อความคิดใหม่ๆที่สร้างสรรค์ กลัวการเปลี่ยนแปลงแม้จะเป็นประโยชน์ก็ตาม แต่ในขณะที่เราคัดค้านความคิดประเพณีนี้ก็มีข้อควรระวังอยู่
4 ข้อคือ
(1)
ในการคัดค้านเรื่องเหล่านี้
เราต้องสำรวจประเพณีเก่าและสิ่งที่เราเคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำว่า
สิ่งไหนใช้ได้ สิ่งไหนใช้ไม่ได้
แล้วเลือกคัดค้านสิ่งที่ใช้ไม่ได้
สิ่งที่ดี มีประโยชน์ก็ยอมรับไว้ปฏิบัติ
(2) นอกจากการคัดค้านประเพณีที่ล้าหลังแล้วเราต้องระวังถึงลักษณะละทิ้งประเพณีทุกชนิดอย่างสิ้นเชิง
โดยละเลยสิ่งแวดล้อมทางภววิสัยเช่นประเพณีที่ว่า
หญิงชายไม่ควรปฏิบัติต่อกันเกินเลยความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็น ถ้าละเลยประเพณีโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม
ความจำเป็น จะทำให้เกิดลักษณะเสรีทางเพศขึ้นได้เป็นการละเลยประเพณีโดยสิ้นเชิง
หรืออีกด้านหนึ่งก็ยึดถือประเพณีจนเคร่งครัดจนเกินไป
(เช่นไม่กล้าปั๊มหัวใจให้แก่สตรี) คิดว่าทำเช่นนั้นเป็นจริยธรรม ทั้งสองด้านก็จะกลายเป็นลักษณะที่เลยเถิดจนห่างไกลจากสภาพภววิสัย
(3)
ต่อประเพณีที่ก้าวหน้าควรสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นระบบยิ่งขึ้น
เช่นการลงแรงช่วยกันทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ต้องพยายามพัฒนาให้เป็น กลุ่ม ชมรม สมาคม ฯลฯ
ซึ่งจะสามารถสานต่องานของเราได้ (งาน มช ฯลฯ)
ประเพณีรักกันฉันท์พี่น้อง ไม่ใช่เป็นการรักกันอย่างคับแคบ
เฉพาะหมู่เฉพาะพวก เช่นมาจากถิ่นฐานเดียวกัน ชนชั้นเดียวกัน ฯลฯ
จะทำให้พัฒนากลายไปเป็นลัทธิพรรคพวกซึ่งจะส่งผลเสียต่อความสามัคคีในหมู่คณะได้
(4)
การปฏิเสธความคิดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปฏิบัติตามประเพณีเลย เพราะบางอย่างเป็นประเพณีที่ก้าวหน้าเป็นประเพณีที่ฝ่ายก้าวหน้าได้คิดขึ้นเช่นการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นประชาธิปไตยการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย....หรือเทศกาลบางอย่างเช่น
วันกรรมกรสากล วันสตรีสากลฯลฯ
เป็นต้นเนื่องจากว่าเป็นเทศกาลที่ก้าวหน้า
กิจกรรมในงานก็ควรเป็นกิจกรรมที่ก้าวหน้าด้วย
สรุปแล้วเราต้องคัดค้านความคิดที่เป็นแบบประเพณี เพราะมันขัดกับความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ หากเราไม่ขจัดความเคยชินเช่นนี้ หรือไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้
เราก็ไม่สามารถมีความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้
1.2 ความคิดแบบไสยศาสตร์
เป็นความคิดที่มีอยู่คู่สังคมไทยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะสังคมของเราโดยเฉพาะสังคมชนบท
ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจความสลับซับซ้อนของธรรมชาติหรือการควบคุมธรรมชาติอันสืบเนื่องมาจากขาดการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ประกอบกับความเชื่อที่สืบทอดกันมาอีกทั้งยังมีความศรัทธาในหลักศาสนาที่สัจธรรมถูกบิดเบือนโดยชนชั้นปกครองมาหลายชั่วอายุคน แม้จะได้รับการศึกษาอยู่บ้างก็เป็นไปตามแนวทางที่ชนชั้นปกครองต้องการให้เป็น ดังนั้นวิธีคิดจึงค่อนข้างจะเป็นแบบไสยศาสตร์อยู่มาก
ยิ่งถ้าเราไปดูตามร้านหนังสือทั่วไปจะพบว่ามีหนังสือประเภทอภินิหาร เรื่องของผีสาง เทวดา หมอดู นวนิยายประโลมโลกที่ไร้สาระอยู่มากมาย สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะของผู้คนในสังคม หนังสือประเภทวิชาความรู้ที่เสริมสร้างปัญญามีน้อยมากและไม่เป็นที่นิยมของนักอ่าน เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความคิดแบบไสยศาสตร์ที่ซึมซ่านอยู่ในสังคมไทยสังคมไทยแทบทุกชนชั้นก็ว่าได้ ความคิดแบบนี้แสดงออกมาให้เห็นอย่างน้อยก็ 3 ลักษณะคือ
ก) ได้แก่ลักษณะเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ(หมายถึงสิ่งลี้ลับ)
เช่นเชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชเป็นสิ่งคุ้มครองประเทศไทย
ถ้ามันจะมีจริงก็คือประชาชนนี่แหละที่จะป้องกันประเทศไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติที่ไหน
ข) ลักษณะเชื่อพรหมลิขิต เป็นความเชื่อที่ว่าวิถีชีวิตของเรานั้นถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เช่นนี้ทำให้เราไม่เข้าใจสังคมและพัฒนาการของมันไม่อาจให้คำตอบที่มีเหตุผลได้ว่า
ความทุกข์ยากของประชาชนนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใดซึ่งในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์กดขี่เอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองทั้งสิ้น
ค) ลักษณะเชื่อโชคชะตา คือเชื่อในเรื่องความบังเอิญ
เอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับความบังเอิญหรือสิ่งที่เรียกว่า”ดวง”
เช่นบังเอิญถูกลอตเตอรี่ แทนที่จะคิดว่า
ถ้าไม่ซื้อก็ไม่มีโอกาสถูกแต่กลับไปคิดว่านี่เป็นเพราะดวงดี
เงื่อนไขหนึ่งที่ถูกลอตเตอรี่ก็เพราะซื้อการถูกนั่นเรียกว่าเหตุบังเอิญซึ่งเป็นปรากฏ
การณ์ที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน
เรื่องของความรักก็มองว่าเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสหรือเป็นดวงคู่กันจึงได้มาพบกันและอยู่ด้วยกัน ในความเป็นจริงการได้มาพบกันคือเงื่อนไขหนึ่งเท่านั้นอาจจะเกิดจากการที่ต้องมาทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ถ้าจะว่ากันในเรื่องของโหราศาสตร์แล้วดวงก็คือวันเวลาที่มนุษย์คนหนึ่งคลอดออกมาจากครรภ์มารดาเท่านั้นเอง ทีนี้เราลองมาคิดดูซิว่าเมื่อหญิงชายมาพบกัน คนหนึ่งรักความเป็นธรรมมีอุดมการณ์ในการรับใช้ประชาชน ส่วนอีกคนหนึ่งรับใช้แต่ผลประโยชน์ของตนเอง ฯลฯ
เช่นนี้แล้ว ความรัก ความสนิทสนม
ความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้อย่างไรและคงยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้
ง) ลักษณะที่เชื่อในเรื่องบุญกรรมและโชควาสนา การยก ”กฎแห่งกรรม”
ที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์มาใช้อ้างเช่น
คนที่คอร์รัปชั่นถูกฟ้าผ่าตายก็คิดเอาเองว่าเป็นเพราะกรรมตามสนอง การคิดเช่นนี้ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ได้คิดถึงเหตุและผล
สาเหตุที่เขาถูกฟ้าผ่าอาจเป็นเพราะในตัวของเขามี เช่น แหวนโลหะ
สร้อยคอทองคำที่เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าอยู่ ฯลฯ
เคยมีพระสงฆ์บางรูปกล่าวว่า”ไม่ควรหลงใหลในวิทยาศาสตร์ให้มากนัก กฎแห่งกรรมมีจริงและสำคัญกว่า”
เป็นที่น่าเสียดายที่พระคุณเจ้ารูปนั้นไม่เข้าใจความหมายของคำว่า กรรม และ
วิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง ความหมายของกรรมในพุทธศาสนา หมายถึงการกระทำที่เกิดจากเจตนา
เช่นคนๆหนึ่งมีเจตนาไปลักทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งถือได้ว่าเขาได้กระทำกรรมชั่ว
สิ่งที่เขาจะได้รับจากการกระทำของเขาก็คือถูกลงลงโทษจำคุกไม่ใช่ถูกสนองตอบการกระทำชั่วด้วยการถูกผู้อื่นมาลักทรัพย์ของเขา
คำว่าวิทยาศาสตร์
Science : มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือ scientia, หมายถึงความรู้ ตรงกับภาษาบาลีว่า วิชชา เป็นความรู้ที่ผ่านการทดลองปฏิบัติของมนุษย์มารุ่นแล้วรุ่นเล่า กลั่นกรองมาจน เป็นความรับรู้ที่เป็นจริงในศาสตร์สาขาต่างๆ โดยรวมแล้วก็คือสัจธรรมนั่นเอง แต่พระคุณเจ้ารูปนั้นไม่ได้สั่งสอนให้คนเรียนรู้
”วิชชา” ที่ถูกต้องกลับสอนให้เชื่อใน อวิชชา หากสอนทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ถูกต้องถือว่าท่านผิดศีลเพราะกล่าวเท็จ หากสอนเพราะความไม่รู้...ก็แสดงว่าท่านไม่เดียงสาในการตีความและไม่เข้าใจคำว่าวิทยาศาสตร์
การเรียนรู้ที่แท้จริงคือต้องครุ่นคิดพิจารณาไปจนถึงรากแก่นของเรื่องราว ทดสอบปฏิบัติจนแน่ใจแล้วว่าถูกต้อง
เพราะว่าสัจธรรม..ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่
โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ก็ยังคงความเป็นสัจธรรมอยู่นั่นเอง
จ) ลักษณะที่เชื่อเรื่องชาตินี้ ชาติหน้า เป็นความเชื่อที่ขัดกับกฎแห่งการวิวัฒนาการของมนุษย์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ เช่นเชื่อว่าเมื่อทำบาปแล้วชาติหน้าจะไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ซึ่งตามข่อเท็จจริงแล้วมนุษย์ไม่มีทางที่จะไปเกิดเป็นสัตว์ได้เลย จากกฎของการวิวัฒนาการที่ค้นพบโดย ชาร์ลส์ ดาร์วิน นั้นมนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลเดียวเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว ดังนั้นความเชื่อเช่นนี้จึงไม่ถูกต้อง แต่ข้อเท็จจริงที่ได้มีการพิสูจน์มาแล้วว่ามนุษย์ถ่ายทอดชีวิตของตนผ่านยีนส์หรือโครโมโซมด้วยการสืบพันธุ์ ลูกที่เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดโครโมโซมจากพ่อและแม่คนละครึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ลูกจึงมิใช่ตัวเราหรือชีวิตใหม่ของเรา หากจะเป็นได้ก็แค่เพียงครึ่งเดียวของเราเท่านั้น การสืบ พันธุ์ที่มีโครโมโซมเป็นตัวถ่ายทอดลักษณะของมนุษย์นั้นเป็นกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ แต่การอธิบายการถือกำเนิดและการดำรงชีวิตของมนุษย์ด้วยเรื่องโชควาสนาและกรรมเก่านั้นเป็นการอธิบายด้วยเหตุผลและกฎเกณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นเราจึงต้องจำแนกเหตุผลและกฎเกณฑ์ที่เป็นไสยศาสตร์หรือเป็นวิทยาศาสตร์ให้ออก ไม่ใช่ปฏิเสธไปเสียทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงทางภววิสัย
ฉ) ลักษณะที่เชื่อในนรก..สวรรค์ ใครทำตามสิ่งที่ชนชั้นปกครองเห็นว่าดีงามหรือกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้จะได้ขึ้นสวรรค์ ใครที่ไม่ทำตามความประสงค์ของชนชั้นปกครองถือว่าทำชั่วจะตกนรก
ดัง
นั้นนรกหรือสวรรค์จึงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นเรื่องของการหลอกลวงของชนชั้นปกครองที่บิดเบือนคำสอนทางศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ขูดรีด เป็นการสะท้อนถึงการกดขี่ที่ชนชั้นหนึ่งกระ ทำต่ออีกชนชั้นหนึ่งเท่านั้น ผู้ที่ยึดมั่นในคำสอนของปรัชญาเถรวาทจะมีเข้าใจความหมายของสวรรค์ว่า เป็นสภาวะของการกระทำความดีอย่างถึงที่สุดแล้ว
สำหรับนรกก็คือการกระทำความชั่วอย่างถึงที่สุดเช่นกัน สวรรค์จึงไม่ใช่เป็นสถานที่ๆมีทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเสพย์สุขแต่อย่างใดเลย อีกทั้งยังมีการแบ่งลำดับชั้นของสวรรค์ไว้หลายชั้น
และแน่นอนสวรรค์ชั้นสูงสุดย่อมจะเป็นที่สถิตย์ของชนชั้นสูงเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วแม้เขาจะเป็นคนที่ชั่วร้ายเพียงใดก็ตาม เป็นการจำลองลักษณะชนชั้นในสังคมมนุษย์ที่มีความเหลื่อมล้ำเอาไว้ในนั้นด้วย
สำหรับนรกก็มีการจัดลำดับชั้นที่น่าสะพรึง
กลัวกำกับไว้อีกเช่นเดียวกัน
ในขณะที่เราคัดค้านความคิดแบบไสยศาสตร์เราก็ต้องระมัดระวังด้วย เพราะบางคนไม่เพียงแต่จะคัดค้านความคิดไสยศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเลยเถิดไปถึงการคัดค้านกฎเกณฑ์ทางสังคมบางอย่างที่เป็นเงื่อนไขจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยสิ้นเชิง
ลักษณะเช่นนี้เป็นการคัดค้านที่เกินเลยไป
เราคัดค้านความคิดที่เป็นไสยศาสตร์อย่างถึงที่สุด แต่ไม่ใช่เลยเถิดไปจนเป็นการดูหมิ่นกฎ เกณฑ์ทางสังคมที่ดำรงอยู่ในชุมชน เพียงแต่ต้องค่อยๆพยายามดัดแปลงให้เป็นกฎเกณฑ์ที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์
1.3 เราต้องคัดค้านความคิดแบบอัตวิสัย ที่เราจำเป็นต้องคัดค้านก็เพราะมันเป็นความคิดที่ยึด
ถือตัวเองและความรู้สึกเฉพาะหน้าของตนเป็นหลักโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จะทำให้ไม่สา มารถมีความคิดที่รอบด้าน ลึกซึ้ง
และเป็นระบบได้ ลักษณะอัตวิสัยที่แสดงออกมี 4 อย่างคือ
ก) เชื่อว่าชีวิตต้องมีความสะดวกสบาย เหตุที่เชื่อเช่นนั้นมีสาเหตุมาจากความคิดที่ว่าความสะดวก
สบายนั้นทำให้ชีวิตมีความสุข
สิ่งที่ทำให้เราไม่สะดวกสบายจึงเป็นสิ่งไม่ดี เป็นการเอาความคิดของเราไปตัดสินผู้อื่น ความคิดเช่นนี้จะเลยเถิดไปถึงความคิดในการเสพย์สุขต่างๆย่อมไม่ใช่ความคิดที่มีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าเรามีความเชื่อเช่นนี้เป็นพื้นฐานแล้วเวลาพบกับงานที่ยากลำบากก็จะคิดเอาเองว่า
“ไม่มีทางสำเร็จ” จึงไม่อยากทำเพราะกลัวความยากลำบาก ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ย่อมต้องเผชิญกับอุปสรรคและความยากลำบากเสมอไม่มากก็น้อยในการดำเนินชีวิต ทุกวัน นี้มนุษย์สามารถมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าในอดีตก็เพราะได้ต่อสู้กับความยากลำบากมานานัปการ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ ต่อสู้ทางการผลิต ต่อสู้กับการกดขี่ขูดรีด ฯลฯ
จนสามารถเอาชนะและดัดแปลงธรรมชาติให้มารับใช้มนุษย์ได้ ในด้านกลับ
เมื่อตนเองต้องประสบกับความยากลำ บาก
ก็จะเกิดความท้อแท้
ไม่อยากทำอะไร มองโลกมืดมิดไปหมด
ข) การดำเนินชีวิตอย่างเสรีไร้กฎเกณฑ์ ไร้วินัย
การดำเนินชีวิตเช่นนี้จะไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติได้ เพราะธรรมชาตินั้นมีกฎเกณฑ์มีระเบียบที่แน่นอน
ในเงื่อนไขหนึ่งมันจะมีกฎเกณฑ์และระเบียบที่แน่นอนอย่างหนึ่ง เช่นฝนจะตกชุกในฤดูฝน น้ำจะไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำอย่างนี้เป็นต้น
ค) ชีวิตที่ต้องการหลีกเลี่ยงความยากลำบาก
ก็คือต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทั้งปวง
นี่ก็เป็นความคิดอัตวิสัยอีกแบบหนึ่ง
เมื่อประสบกับความขัดแย้งก็พยายามประนีประนอมหรือหลีกเลี่ยงเพราะกลัวความขัดแย้ง นี่เป็นความคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษชี้นำให้เราเข้าใจถึงความขัดแย้งว่าเป็นปัจจัยใน
การพัฒนาเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งทั้งปวง
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าในธรรมชาติหรือสังคม
ทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งความขัดแย้งและมีความสัมพันธ์กัน มันเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งในธรรมชาติและสังคม
ง) ชีวิตนี้เพื่อตนเอง แล้วก็เกิดความคิดเก็งกำไร ความคิดเห็นแก่ตัว ความคิดอยากจะเอาดีเอาเด่นเหนือคนอื่น ความคิดแบบลัทธิพรรคพวก เครือญาตินิยม และความคิดที่เห็นแก่หน้า รักษาหน้าเพื่อผลประโยชน์ของตน เหล่านี้ก็สืบเนื่องมาจากความคิดเพื่อตนเองซึ่งขัดต่อความจริงทางวิทยาศาสตร์เพราะอย่างน้อยที่สุดถ้ากล่าวกันในแง่ชีววิทยา
ชีวิตที่ดำรงอยู่ก็เพื่อขยายเผ่าพันธ์
ในแง่สังคม...ชีวิตมีเอการพัฒนาสังคมมนุษย์โดยส่วนรวมมิใช่มีชีวิตเพื่อตนเองเท่านั้น หากเรามีความคิดอัตวิสัยแบบนี้แล้ว เราก็จะไม่มีวันเข้าใจถึงความทุกข์ยากของสังคมได้อย่างเด็ดขาด อาจจะคิดไปว่า ประชาชนยังโง่เขลา ขี้เกียจ
หรืออะไรร้อยแปดพันประการแล้วแต่จะสรรหามากล่าว แทนที่จะเห็นความทุกข์ยากของประชาชนแล้วหาวิธีเข้าไปแก้ไข
การคัดค้านความคิดแบบอัตวิสัยนั้น มีสิ่งที่พึงระวังดังนี้
ก)
เราต้องไม่คัดค้านความคิดอัตวิสัยจนกระทั่งเห็นว่าตัวเองไม่มีความสำคัญ
แทนที่จะมองเห็นว่าเราสามารถดัดแปลงสังคมให้พัฒนาไปได้ แน่นอนต้องมีปัจจัยอย่างอื่นประกอบอยู่ด้วย เราต้องเข้าในในความเป็นจริงนั้นมีสองด้าน ด้านหนึ่งสังคมสร้างเรา อีกด้านหนึ่งเราก็มีความสามารถในการดัดแปลงสังคม
เหมือนเช่นที่ว่าธรรมชาติครอบงำดัดแปลงเรา
เราก็สามารถดัดแปลงธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ต่อเราได้เช่นกัน
ข)
เราต้องไม่คัดค้านอัตวิสัยจนปฏิเสธิเรื่องของปัจเจกชน การทีค่เราพูดถึงส่วนรวมมิได้หมายความว่าต้องปฏิเสธเรื่องส่วนตัว
แต่ผลประโยชน์ส่วนตัวนั้นต้องมาทีหลังและขึ้นต่อผลประโยชน์ของส่วน
รวมและจะขัดต่อผลประโยชน์ของส่วนรวมมิได้
ค) การปฏิเสธความคิดอัตวิสัย
มิได้หมายความว่าเราจะปฏิเสธความนึกคิดทั้งมวล
แต่ความนึกคิดนั้นต้องมิใช่เป็นสิ่งที่เลื่อนลอย เพ้อฝัน หากแต่เป็นความคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความเป็นวิทยา
ศาสตร์ ที่สามารถประเมิน คาดการณ์ได้ว่า
สิ่งไหนจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ง) เราปฏิเสธความคิดเสรี แต่ก็มิได้ปฏิเสธเสรีภาพ
พวกเสรีนิยมมักจะกล่าวหาว่าพวกเราไม่ต้องการเสรีภาพเพราะเราคัดค้านลัทธิเสรี ความจริงแล้วเราต้องการเสรีภาพแต่มิใช่เสรีภาพในความหมายของพวกเสรีนิยมที่ชอบแต่จะทำอะไรตามใจตนเอง
สนุกสนานไปวันๆหนึ่งโดยไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เช่นว่าพวกเขาพูดถึงความเท่าเทียมทางเพศ
แต่ในขณะเดียวกันก็ทำการกดขี่ทางเพศอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน เช่นเที่ยวเสเพล หลอกลวง เหยียดหยามสตรีเพศ ฯลฯ
สำหรับเสรีภาพที่เราคำนึงถึงนั้นคือการปลดเปลื้องแอกและโซ่ตรวนของสังคมให้แก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อจะให้สังคมได้ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดชะงัก
1.4
ความคิดภววิสัยโดดๆ มีความเข้าใจผิดที่เป็นพื้นฐานเกี่ยวกับความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์อยู่เรื่องหนึ่งคือ
โดยเข้าใจว่าเรื่องของวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องขแงวัตถุหลักฐาน เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงโดดๆ ความคิดเช่นนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว เป็นเพียงด้านที่เป็นปรากฏการณ์ของวิทยาศาสตร์เท่านั้น อีกด้านหนึ่งคือเนื้อหา หรือธาตุแท้ของมัน บางทีก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ยืนยันได้ เช่นเราพูดว่าสงครามปฏิวัติจะต้องชนะ สังคมนิยมจะถูกสถาปนาขึ้นโดยชนชั้นกรรมาชีพ
ที่เราเชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่าเราได้อาศัยประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ทางชนชั้นมาอ้างอิง เราอาศัยวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่ว่า
สิ่งใหม่ย่อมเกิดขึ้นทดแทนสิ่งเก่าที่นับวันมีแต่จะทรุดโทรมร่วงโรยไป และแน่นอนก็ต้องอาศัยเงื่อนไขต่างๆด้วย ความคิดภววิสัยโดๆจะมีลักษณะเด่นอยู่ 4
ประการคือ
ข้อแรก..เน้นแต่เรื่องหลักฐาน ถ้าไม่มีหลักฐาน..ไม่เชื่อ
ในกรณีเช่นชนชั้นปกครองร่ำรวยมหาศาลทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เช่นนี้ก็พอจะกล่าวได้ว่าต้องมีวิธีคดโกง
ปล้นชาติปล้นประชาชนแน่นอน
แต่จะใก้นำเอาหลักฐานมาพิสูจน์ยืนยันคงจะยาก เพราะคงไม่มีใครโกงแล้วยังเก็บหลักฐานไว้ให้ผู้อื่นจับผิดเป็นแน่ คำพูดที่ว่า
เอาหลักฐานมาพิสูจน์ซิ นั้น
แทนที่จะเป็นวิทยาศาสตร์ กลับไม่เป็นวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง
ข้อสอง...
เนื่องจากติดอยู่กับเรื่องหลักฐานหรือหาข้อเท็จจริงมาสนับสนุนไม่ได้ จึงทำให้แนวโน้มของการ “รู้ไม่ได้ ”
ขึ้น
ซึ่งแสดงออกในหมู่ปัญญาชนที่มีจุดยืนของชนชั้นนายทุน คือมีแต่ความสงสัยเต็มสมองไปหมด เพราะว่าหลักฐานข้อเท็จจริงไม่พอ
ดังนั้นขอบเขตของความคิดเช่นนี้จึงติดอยู่กับอดีตและปัจจุบันแต่ไม่มีอนาคต นี่เองที่กล่าวว่าความคิดแบบภววิสัยโดดๆ เป็นความคิดที่ไม่สามารถเล็งการไกลได้เพราะติดอยู่กับอดีตและมองไม่เห็นอนาคต
ข้อสาม...คือมองเห็นแต่ปรากฏการณ์เท่านั้นที่เป็นจริง เช่นที่พูดว่า มวลชนจะต้องรวมตัวกันเป็นแสนๆเท่านั้นจึงจะสามารถขับไล่ชนชั้นปกครองออกไปได้นอกนั้นมองไม่เห็นหนทาง
หรือเช่นที่ว่าก่อนฝนจะตกอากาศจะร้อนอบอ้าว
บางทีแดดออกอยู่ดีๆฝนก็ตกลงมาได้(ลักษณะของวัตถุนิยมกลไก)
ข้อสี่...
ซึ่งเป็นด้านกลับของลักษณะที่สาม จากความคิดแบบวัตถุนิยมกลไก(ข้อสาม)ไปสู่ความคิดแบบจิตนิยม ลักษณะความคิดแบบนี้เห็นว่า “ปรากฏการณ์” เท่านั้นที่เป็นจริง ปรากฏการณ์คือสิ่งที่พบเห็น ดังนั้นการพบเห็นปรากฎการณ์ที่คล้ายคลึงกันแล้วไปเหมาเอาว่า มันจะต้องปรากฏผลออกมาอย่างเดียวกัน
โดยไม่เข้าใจและศึกษาค้นคว้าถึงถึงธาตุแท้ของมัน
ลักษณะอย่างนี้คือลัทธิประสบการณ์ พอนานเข้าก็จะกลายเป็นความคิดแบบจิตนิยมไป
สิ่งที่ควรระวังในการคัดค้านความคิดแบบภววิสัยโดดๆ
คือจะต้องไม่เกินเลยไปจนกระทั่งมองไม่เห็นถึงความสำคัญของหลักฐาน
ข้อเท็จจริง
และปรากฏการณ์ด้วยเช่นกัน นั่นคือต้องประสานภววิสัยและอัตวิสัยเข้าด้วยกัน
คือให้ความรู้สึกนึกคิดของเราสอดคล้องกับความจริงในโลกธรรมชาติ
เช่นนี้แล้วจึงจะมีลักษณะความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้
(โปรดติดตามตอนต่อไปในหัวข้อที่ 2 ท่าทีที่เป็นวิทยาศาสตร์ )