Thursday, July 23, 2015

ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ตอนที่ 2

2. ท่าทีที่เป็นวิทยาศาสตร์    เมื่อได้พูดถึงความคิดที่ไม่ถูกต้องแล้ว  ก็จะต้องพูดถึงท่าทีที่ถูกต้องอันเป็นท่าทีที่จำเป็นและเป็นท่าทีของผู้ที่มีความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยซึ่งมีลักษณะ 4 ประการดังต่อไปนี้

2.1 ท่าทีที่เรียบง่าย ซื่อตรง และประหยัด  ทั้งสามอย่างนี้เป็นสิ่งควบคู่กัน   ที่ว่าเรียบง่ายก็คือทำอะไรก็มีความเรียบง่าย   เช่นการใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ อยู่ง่าย กินง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อไปกับสิ่งที่เย้ายวนทั้งปวง  ที่ว่าซื่อตรงนั้นก็คือ  ไม่มีเล่ห์เพทุบายต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์  พูดความจริง  กล้าวิจารณ์ตนเอง  ที่ว่าประหยัดก็คือไม่ทำสิ่งใดฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น

2.2 ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน  ตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งในโลกธรรมชาติมิได้ขึ้นอยู่กับความคิดของเราหากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ตามธรรมชาติ  การที่เราจะเรียนรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เราจะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไปศึกษาจากคนอื่น    ถ้าใครก็ตามมีท่าทีที่เย่อหยิ่งทำตัวราวกับว่าเป็นเจ้าของสัจธรรมแต่ผู้เดียวรู้อะไรไปเสียหมด     การพัฒนาความรับรู้ของเขาจะถูกปิดกั้นและหยุดชะงักไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้       ดังนั้นท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนจึงเป็นท่าทีที่ถูกต้องเป็นท่าทีของการเรียนรู้สรรพสิ่ง  การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น   น้อมใจรับฟังคำวิจารณ์ย่อมจะสามารถแก้ไขความคิดที่ผิดๆของเราได้และเป็นการนำข้อดีของผู้อื่นมาเสริมข้อด้อยของเราได้

2.3  ท่าที สุขุมรอบคอบและยึดกุมยึดมั่น   หมายถึงท่าทีที่เยือกเย็น  ไม่ด่วนทำอะไรอย่างลวกๆ   ในการพิจารณาปัญหาต่างๆต้องสำรวจอย่างรอบด้าน  พิจารณาทั้งด้านภววิสัยและอัตวิสัยเพื่อจะประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง     โดยอาศัยการยึดกุมยึดมั่นในความคิดที่ถูกต้อง  ไม่โลเลแล้วจึงลงมือกระทำ   นี่เป็นท่าทีที่เป็นวิทยาศาสตร์   เมื่อถูกวิจารณ์ก็ต้องมีท่าทีที่ถูกต้องสุขุมรอบคอบ  ใคร่ครวญหาข้อบกพร่องของตน  ท่าที่เช่นนี้เราจะต้องรักษาไว้ตลอดชีวิตของเรา

2.4  ต้องมีท่าทีของผู้ใช้แรงงาน  ไม่ใช้ท่าทีของผู้บริหารเช่น ชอบสั่ง ชี้นิ้ว  ไม่ยอมลงมือทำ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก   เพราะความรู้ของเรานั้นเกิดขึ้นได้ก็เนื่องมาจากการปฏิบัติทั้งสิ้น  ดังนั้นท่าทีแบบลัทธิออกคำสั่งหรือบงการนั้นเป็นท่าทีที่เลวและไม่เป็นวิทยาศาสตร์    ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขจัดความรู้สึกที่เลวเช่นนี้ออกไปจากตัวเราแล้วใช้ท่าทีของผู้ใช้แรงงานแทน    แต่ท่าทีของผู้ใช้แรงงานที่ถูกต้องนั้นจะต้องไม่ใช่ท่าทีที่เหมางานหรือรับทำแทน   ไม่ว่างานอะไรก็เหมาทำเสียทั้งหมด  เพราะมีความคิดว่าผู้อื่นไม่มีความสามารถบ้าง   กลัวผู้อื่นจะทำผิดบ้าง    ท่าทีเช่นนี้ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น   เพราะถ้าเพื่อนร่วมงานไม่ได้ลงมือทำ   แล้วพวกเขาจะมีความสามารถได้อย่างไร? จะก้าวหน้าขึ้นมาได้อย่างไร?   ในที่สุดภาระหน้าที่จะรุดหน้าไปได้อย่างไร?     เพราะการปฏิวัตินั้นเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้ถูกกดขี่ทุกคน  มิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง   อีกอย่างหนึ่งก็ต้องหลีกเลี่ยงการเป็นช้างเท้าหลัง     ไม่ค่อยยอมออกความคิดเห็นอะไรเสียเลย  ใครให้ทำอะไรก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำแต่ถ่ายเดียว   ท่าที่เช่นนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเช่นกัน

3..วิธีปฏิบัติที่เป็นวิทยาศาสตร์    วิธีปฏิบัติเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของวิธีคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้

3.1  การสำรวจปัญหา   ต้องสำรวจทั้งภววิสัยและอัตวิสัย  จะต้องเป็นการสำรวจเพื่อแก้และต้องสำรวจอย่างมีจุดมุ่งหมายเช่นจุดม่งหมายทางด้านเศรษฐกิจ  การเมือง ฯลฯ  

3.2  หลังจากสำรวจแล้วก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์ แยกแยะ  และจะต้องทำอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงห้ามแยกแยะด้วยอัตวิสัยของเราหรือคาดเดาเอาเองเป็นอันขาด

3.3  เมื่อวิเคราะห์แยกแยะแล้ว  ต้องสร้างมติ  นโยบาย  แนวทาง  เพื่อใช้ในการปฏิบัติต่อไป

ข้อผิดพลาด   ข้อแรก..ก็คือทำการสำรวจอย่างไม่รอบด้าน  ดังนั้นข้อมูลที่สำรวจมาได้จึงไม่ค่อยจะสม บูรณ์   สิ่งนี้จะส่งผลและสะท้อนไปถึงการวิเคราะห์ปัญหาด้วย      ข้อที่สอง...ก็คือ บางทีข้อมูลที่สำรวจมาค่อนข้างจะดี  แต่วิธีการวิเคราะห์ปัญหายังเป็นลักษณะที่ไม่ใช่วิภาษวิธี   บางครั้งจะแสดงออกถึงการมองปัญหาเพียงด้านเดียว หยุดนิ่ง และโดดเดี่ยว     บางครั้งแสดงออกทางด้านภววิสัยมากเกินไปจนละเลยด้านอัตวิสัย     บางครั้งก็แสดงออกแบบทางด้านลัทธิอัตวิสัย     เมื่อนำไปแก้ปัญหาก็มักจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร     ประการสุดท้ายก็คือละเลยต่อการสรุปบทเรียนหมายความว่าเมื่อแก้ปัญหาตกไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านพ้นไปโดยไม่มีการสรุปบทเรียนในการหาจุดอ่อนเพื่อแก้ไขปรับปรุง     เพราะการสรุปบท เรียนนั้นก็เท่ากับเป็นการเรียนรู้และยกระดับความรับรู้ให้สูงขึ้นไปอีก       เมื่อนำเอาข้อสรุปไปแก้ปัญหาชนิดเดียวกันก็จะสามารถทำได้ง่ายและดียิ่งขึ้น

4. ลักษณะความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์     เมื่อมีวิธีคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วจะต้องพิจารณาถึงความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีข้อสำคัญ 6 ข้อคือ

4.1 มีความคิดที่เป็นระบบ     คือมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีความสม่ำเสมอคือมีลักษณะที่เป็นนามธรรมและใช้ได้ทั่วๆไปคือให้คิดถึงเงื่อนไขทางวัตถุเป็นพื้นฐาน        ตัวอย่างเช่น..เมื่อเกิดปัญหาความสัมพันธ์ทางเพศขึ้นในกระบวนการ(แสดงออกซึ่งลัทธิเสรี) จะต้องแก้ปัญหาด้วยการไปไหนอย่าไปกันสองต่อสองควรจะไปด้วยกันหลายคน   ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการทำจิตใจให้เข้มแข็ง    เพราะสัญชาติญานทางเพศนั้นเป็นแรงกระตุ้นทางธรรมชาติอันเป็นปกติวิสัย

4.2  มีลักษณะรอบด้าน   การมองและพิจารณาสิ่งต่างๆนั้นต้องมองหลายๆด้าน  อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมองทั้งด้านตรงและด้านกลับของปัญหา     มองทั้งด้านทั่วไปและด้านเฉพาะ อย่ามองเห็นแค่ต้นไม้หลายต้นแต่มองไม่เห็นป่า  อย่างที่เองเกลส์ ได้กล่าวไว้        ไม่ควรยืนยันหรือปฏิเสธอะไรไปเสียทั้งหมดเพราะอาจจะเกิดแนวโน้มไปสู่ลัทธิอัตวิสัยได้

4.3  ต้องมีลักษณะมองให้เห็นเนื้อแท้ของปัญหา     คืออย่ามองแค่เพียงปรากฏการณ์ของสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องพยายามมองให้ถึงธาตุแท้ของมันโดยใช้หลักการแบบวิภาษวิธี   ตัวอย่างเช่น  ด่าขโมยว่า สันดานไม่ดี ขี้เกียจ  นั่นเป็นแค่เพียงปรากฏการณ์   แต่เนื้อแท้ของมันก็คือการที่เขาต้องเป็นขโมยก็เป็นเพราะระบบสังคมเลวทราม  ที่กดขี่เอารัดเอาเปรียบ  ที่สนับสนุนยกย่องแต่ความฟุ้งเฟ้อฟอนเฟะของสังคม  นั่นเองที่เป็นสาเหตุ     เหมือนกับที่เหมาเจ๋อตุงได้กล่าวไว้ว่า  “สังคมเลวทำคนให้เป็นผี  สังคมดีทำผีให้เป็นคน” และสำหรับการเข้าถึงเนื้อแท้ของปัญหาท่านได้ให้ข้อสรุปว่า  “ปรากฏการณ์คือประตู ที่จะก้าวเข้าไปสู่ธาตุแท้ของสรรพสิ่ง”  และ...  ”เราจะเข้าใจสรรพสิ่งได้      เราต้องเข้าใจการเคลื่อนไหวพัฒนาของมัน(ปรากฏการณ์)     เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวพัฒนาของมันได้อย่างไร?    เราก็ต้องเข้าใจความขัดแย้ง(ธาตุแท้)ของมัน     

4.4  มีลักษณะจับกฎเกณฑ์    หมายถึงจะต้องยึดหลักที่ว่า  สรรพสิ่งนั้นมีความสัมพันธ์และขัดแย้งกัน  ต่อสิ่งๆหนึ่งนั้นไม่เพียงแต่ว่ามันมีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ(ภายนอกเท่านั้น)     ต่อตัวมันเองก็ยังมีความสัมพันธ์และขัดแย้งภายในอีกด้วย

4.5  ต้องมีลักษณะที่ว่า   ความรับรู้จะต้องประสานกับการปฏิบัติอย่างแนบแน่น  ซึ่งเป็นหลักการสำคัญข้อหนึ่งของวิภาษวิธีที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง    อย่างที่เราเคยได้ได้เรียนรู้มาแล้วเหมือนดั่งเช่นคำกล่าวที่ว่า   “ความรับรู้(ทฤษฎี)ที่ปราศจากการปฏิบัติ  ก็คือความว่างเปล่า      การฏิบัติที่ขาดทฤษฎีก็คือความมือบอด”  นั่นเอง


4.6  ภววิสัยต้องสอดคล้องกับอัตวิสัย  ภววิสัย คือ สิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ปรากฏการณ์ต่างๆในโลกธรรมชาติ  หรือในสังคม  ส่วนอัตวิสัย หมายถึงตัวตนของเรา  ความรู้สึกนึกคิดของเรา   สองสิ่งนี้จะต้องสอดคล้องกัน       ตัวอย่างเช่น...เราต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม(อัตวิสัย)   แต่ใช้วิธีสาปแช่งก่นด่าผู้กดขี่   หรือคอยให้พวกเขาเสียชีวิตไปก่อน  ฯลฯ   เช่นนี้แล้วก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสังคมได้     เพราะในสภาพที่เป็นจริง(ภววิสัย)ผู้กดขี่มีอำนาจรัฐ    มีเครื่องมือในการกดขี่มากมาย     ในขณะที่ตัวเรามีแค่ความคิดและลมปาก        ดังนั้นเราจะต้องใช้วิธีหนึ่งวิธีใดมาทำลายเครื่องมือการกดขี่ของพวกเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ    จากการปฏิบัติที่เป็นจริง(ไม่ใช่แค่คิด)เช่นนี้  จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้

No comments:

Post a Comment