2. ท่าทีที่เป็นวิทยาศาสตร์ เมื่อได้พูดถึงความคิดที่ไม่ถูกต้องแล้ว ก็จะต้องพูดถึงท่าทีที่ถูกต้องอันเป็นท่าทีที่จำเป็นและเป็นท่าทีของผู้ที่มีความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยซึ่งมีลักษณะ
4 ประการดังต่อไปนี้
2.1
ท่าทีที่เรียบง่าย ซื่อตรง และประหยัด
ทั้งสามอย่างนี้เป็นสิ่งควบคู่กัน
ที่ว่าเรียบง่ายก็คือทำอะไรก็มีความเรียบง่าย เช่นการใช้ชีวิตเรียบง่าย
สมถะ อยู่ง่าย กินง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อไปกับสิ่งที่เย้ายวนทั้งปวง ที่ว่าซื่อตรงนั้นก็คือ ไม่มีเล่ห์เพทุบายต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ พูดความจริง
กล้าวิจารณ์ตนเอง
ที่ว่าประหยัดก็คือไม่ทำสิ่งใดฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
2.2
ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งในโลกธรรมชาติมิได้ขึ้นอยู่กับความคิดของเราหากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ตามธรรมชาติ
การที่เราจะเรียนรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เราจะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไปศึกษาจากคนอื่น ถ้าใครก็ตามมีท่าทีที่เย่อหยิ่งทำตัวราวกับว่าเป็นเจ้าของสัจธรรมแต่ผู้เดียวรู้อะไรไปเสียหมด การพัฒนาความรับรู้ของเขาจะถูกปิดกั้นและหยุดชะงักไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ดังนั้นท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนจึงเป็นท่าทีที่ถูกต้องเป็นท่าทีของการเรียนรู้สรรพสิ่ง การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น น้อมใจรับฟังคำวิจารณ์ย่อมจะสามารถแก้ไขความคิดที่ผิดๆของเราได้และเป็นการนำข้อดีของผู้อื่นมาเสริมข้อด้อยของเราได้
2.3 ท่าที สุขุมรอบคอบและยึดกุมยึดมั่น หมายถึงท่าทีที่เยือกเย็น ไม่ด่วนทำอะไรอย่างลวกๆ ในการพิจารณาปัญหาต่างๆต้องสำรวจอย่างรอบด้าน พิจารณาทั้งด้านภววิสัยและอัตวิสัยเพื่อจะประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง
โดยอาศัยการยึดกุมยึดมั่นในความคิดที่ถูกต้อง ไม่โลเลแล้วจึงลงมือกระทำ นี่เป็นท่าทีที่เป็นวิทยาศาสตร์ เมื่อถูกวิจารณ์ก็ต้องมีท่าทีที่ถูกต้องสุขุมรอบคอบ ใคร่ครวญหาข้อบกพร่องของตน ท่าที่เช่นนี้เราจะต้องรักษาไว้ตลอดชีวิตของเรา
2.4 ต้องมีท่าทีของผู้ใช้แรงงาน ไม่ใช้ท่าทีของผู้บริหารเช่น ชอบสั่ง
ชี้นิ้ว ไม่ยอมลงมือทำ
นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะความรู้ของเรานั้นเกิดขึ้นได้ก็เนื่องมาจากการปฏิบัติทั้งสิ้น ดังนั้นท่าทีแบบลัทธิออกคำสั่งหรือบงการนั้นเป็นท่าทีที่เลวและไม่เป็นวิทยาศาสตร์
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขจัดความรู้สึกที่เลวเช่นนี้ออกไปจากตัวเราแล้วใช้ท่าทีของผู้ใช้แรงงานแทน
แต่ท่าทีของผู้ใช้แรงงานที่ถูกต้องนั้นจะต้องไม่ใช่ท่าทีที่เหมางานหรือรับทำแทน
ไม่ว่างานอะไรก็เหมาทำเสียทั้งหมด เพราะมีความคิดว่าผู้อื่นไม่มีความสามารถบ้าง กลัวผู้อื่นจะทำผิดบ้าง ท่าทีเช่นนี้ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น เพราะถ้าเพื่อนร่วมงานไม่ได้ลงมือทำ แล้วพวกเขาจะมีความสามารถได้อย่างไร?
จะก้าวหน้าขึ้นมาได้อย่างไร? ในที่สุดภาระหน้าที่จะรุดหน้าไปได้อย่างไร? เพราะการปฏิวัตินั้นเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้ถูกกดขี่ทุกคน มิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็ต้องหลีกเลี่ยงการเป็นช้างเท้าหลัง ไม่ค่อยยอมออกความคิดเห็นอะไรเสียเลย
ใครให้ทำอะไรก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำแต่ถ่ายเดียว ท่าที่เช่นนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเช่นกัน
3..วิธีปฏิบัติที่เป็นวิทยาศาสตร์ วิธีปฏิบัติเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของวิธีคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้
3.1 การสำรวจปัญหา ต้องสำรวจทั้งภววิสัยและอัตวิสัย จะต้องเป็นการสำรวจเพื่อแก้และต้องสำรวจอย่างมีจุดมุ่งหมายเช่นจุดม่งหมายทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ
3.2 หลังจากสำรวจแล้วก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์
แยกแยะ
และจะต้องทำอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงห้ามแยกแยะด้วยอัตวิสัยของเราหรือคาดเดาเอาเองเป็นอันขาด
3.3 เมื่อวิเคราะห์แยกแยะแล้ว ต้องสร้างมติ นโยบาย แนวทาง เพื่อใช้ในการปฏิบัติต่อไป
ข้อผิดพลาด ข้อแรก..ก็คือทำการสำรวจอย่างไม่รอบด้าน ดังนั้นข้อมูลที่สำรวจมาได้จึงไม่ค่อยจะสม บูรณ์
สิ่งนี้จะส่งผลและสะท้อนไปถึงการวิเคราะห์ปัญหาด้วย ข้อที่สอง...ก็คือ
บางทีข้อมูลที่สำรวจมาค่อนข้างจะดี
แต่วิธีการวิเคราะห์ปัญหายังเป็นลักษณะที่ไม่ใช่วิภาษวิธี
บางครั้งจะแสดงออกถึงการมองปัญหาเพียงด้านเดียว หยุดนิ่ง และโดดเดี่ยว บางครั้งแสดงออกทางด้านภววิสัยมากเกินไปจนละเลยด้านอัตวิสัย บางครั้งก็แสดงออกแบบทางด้านลัทธิอัตวิสัย เมื่อนำไปแก้ปัญหาก็มักจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร ประการสุดท้ายก็คือละเลยต่อการสรุปบทเรียนหมายความว่าเมื่อแก้ปัญหาตกไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านพ้นไปโดยไม่มีการสรุปบทเรียนในการหาจุดอ่อนเพื่อแก้ไขปรับปรุง เพราะการสรุปบท
เรียนนั้นก็เท่ากับเป็นการเรียนรู้และยกระดับความรับรู้ให้สูงขึ้นไปอีก เมื่อนำเอาข้อสรุปไปแก้ปัญหาชนิดเดียวกันก็จะสามารถทำได้ง่ายและดียิ่งขึ้น
4.
ลักษณะความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ เมื่อมีวิธีคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วจะต้องพิจารณาถึงความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์
ซึ่งมีข้อสำคัญ 6 ข้อคือ
4.1
มีความคิดที่เป็นระบบ คือมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีความสม่ำเสมอคือมีลักษณะที่เป็นนามธรรมและใช้ได้ทั่วๆไปคือให้คิดถึงเงื่อนไขทางวัตถุเป็นพื้นฐาน
ตัวอย่างเช่น..เมื่อเกิดปัญหาความสัมพันธ์ทางเพศขึ้นในกระบวนการ(แสดงออกซึ่งลัทธิเสรี)
จะต้องแก้ปัญหาด้วยการไปไหนอย่าไปกันสองต่อสองควรจะไปด้วยกันหลายคน ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการทำจิตใจให้เข้มแข็ง เพราะสัญชาติญานทางเพศนั้นเป็นแรงกระตุ้นทางธรรมชาติอันเป็นปกติวิสัย
4.2 มีลักษณะรอบด้าน การมองและพิจารณาสิ่งต่างๆนั้นต้องมองหลายๆด้าน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมองทั้งด้านตรงและด้านกลับของปัญหา
มองทั้งด้านทั่วไปและด้านเฉพาะ อย่ามองเห็นแค่ต้นไม้หลายต้นแต่มองไม่เห็นป่า อย่างที่เองเกลส์ ได้กล่าวไว้ ไม่ควรยืนยันหรือปฏิเสธอะไรไปเสียทั้งหมดเพราะอาจจะเกิดแนวโน้มไปสู่ลัทธิอัตวิสัยได้
4.3 ต้องมีลักษณะมองให้เห็นเนื้อแท้ของปัญหา คืออย่ามองแค่เพียงปรากฏการณ์ของสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องพยายามมองให้ถึงธาตุแท้ของมันโดยใช้หลักการแบบวิภาษวิธี ตัวอย่างเช่น
ด่าขโมยว่า สันดานไม่ดี ขี้เกียจ นั่นเป็นแค่เพียงปรากฏการณ์ แต่เนื้อแท้ของมันก็คือการที่เขาต้องเป็นขโมยก็เป็นเพราะระบบสังคมเลวทราม ที่กดขี่เอารัดเอาเปรียบ ที่สนับสนุนยกย่องแต่ความฟุ้งเฟ้อฟอนเฟะของสังคม
นั่นเองที่เป็นสาเหตุ เหมือนกับที่เหมาเจ๋อตุงได้กล่าวไว้ว่า “สังคมเลวทำคนให้เป็นผี สังคมดีทำผีให้เป็นคน”
และสำหรับการเข้าถึงเนื้อแท้ของปัญหาท่านได้ให้ข้อสรุปว่า “ปรากฏการณ์คือประตู
ที่จะก้าวเข้าไปสู่ธาตุแท้ของสรรพสิ่ง”
และ... ”เราจะเข้าใจสรรพสิ่งได้
เราต้องเข้าใจการเคลื่อนไหวพัฒนาของมัน(ปรากฏการณ์) เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวพัฒนาของมันได้อย่างไร? เราก็ต้องเข้าใจความขัดแย้ง(ธาตุแท้)ของมัน
4.4 มีลักษณะจับกฎเกณฑ์ หมายถึงจะต้องยึดหลักที่ว่า สรรพสิ่งนั้นมีความสัมพันธ์และขัดแย้งกัน
ต่อสิ่งๆหนึ่งนั้นไม่เพียงแต่ว่ามันมีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ(ภายนอกเท่านั้น)
ต่อตัวมันเองก็ยังมีความสัมพันธ์และขัดแย้งภายในอีกด้วย
4.5
ต้องมีลักษณะที่ว่า
ความรับรู้จะต้องประสานกับการปฏิบัติอย่างแนบแน่น
ซึ่งเป็นหลักการสำคัญข้อหนึ่งของวิภาษวิธีที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง อย่างที่เราเคยได้ได้เรียนรู้มาแล้วเหมือนดั่งเช่นคำกล่าวที่ว่า “ความรับรู้(ทฤษฎี)ที่ปราศจากการปฏิบัติ ก็คือความว่างเปล่า การฏิบัติที่ขาดทฤษฎีก็คือความมือบอด” นั่นเอง
4.6 ภววิสัยต้องสอดคล้องกับอัตวิสัย ภววิสัย คือ สิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ปรากฏการณ์ต่างๆในโลกธรรมชาติ
หรือในสังคม ส่วนอัตวิสัย หมายถึงตัวตนของเรา ความรู้สึกนึกคิดของเรา สองสิ่งนี้จะต้องสอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น...เราต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม(อัตวิสัย)
แต่ใช้วิธีสาปแช่งก่นด่าผู้กดขี่ หรือคอยให้พวกเขาเสียชีวิตไปก่อน ฯลฯ เช่นนี้แล้วก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เพราะในสภาพที่เป็นจริง(ภววิสัย)ผู้กดขี่มีอำนาจรัฐ
มีเครื่องมือในการกดขี่มากมาย ในขณะที่ตัวเรามีแค่ความคิดและลมปาก ดังนั้นเราจะต้องใช้วิธีหนึ่งวิธีใดมาทำลายเครื่องมือการกดขี่ของพวกเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ จากการปฏิบัติที่เป็นจริง(ไม่ใช่แค่คิด)เช่นนี้ จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้
No comments:
Post a Comment