Thursday, July 9, 2015

ความคิดที่ถูกต้องของคนเรามาจากไหน?

ความคิดที่ถูกต้องของคนเรามาจากไหน?  

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา...มนุษย์โบราณได้เผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สร้างหายนะภัยแก่ตนไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว  พายุฝน  น้ำท่วม ฯลฯ    สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความสะเทือนใจให้แก่มนุษย์เป็นอย่างมาก     ได้พยายามที่จะหาคำตอบว่าอะไรเป็นสาเหตุของสิ่งเหล่านั้น   เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีวิชาวิทยาศาสตร์     จึงอธิบายโลกธรรมชาติและปรากฏการณ์ของมันจากการคาดคะเน ของตนเองและไม่สามารถเข้าใจได้ในปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างที่มีความซับซ้อน   จึงใช้ความ รู้สึกนึกคิดของตนเองไปอธิบายว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น    โดยคิดเอาเองว่าเกิดจากสิ่งที่มีพลังอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติ    หรือมีผู้ยิ่งใหญ่ในจินตนาการของตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังดลบันดาลให้เป็นไปนั่นเป็นรากฐานของความคิดแบบจิตนิยม (Idealism)

ต่อมาเมื่อมนุษย์สามารถเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น      และรู้เท่าทันถึงสาเหตุที่เกิดจึงสามารถสลัดหลุดออกจากความสงสัยได้    และเริ่มคิดอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้นสามารถได้ข้อสรุปว่าทุกๆปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินั้นที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นย่อมมีสาเหตุที่แน่นอนของมัน      ไม่ได้เกิดจากการกระทำของอำนาจลี้ลับใดๆหรือมีผู้ยิ่งใหญ่ตนใดมาเนรมิตให้เป็นไป      และความรับรู้ของมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับสรรพสิ่งภายนอกตัวเรา   ไม่ว่าจะเป็นตัววัตถุสสาร    การเคลื่อน ไหวหรือปรากฏการณ์ของมัน  ทั้งที่เป็นทั้งรูปและนาม     แนวคิดอย่างหลังนี้เป็นรากฐานของความคิดแบบวัตถุนิยมหรือสสารนิยม (materialism)

สำหรับเราแล้ว..เราเห็นว่าแนวคิดแบบวัตถุนิยมมีความถูกต้อง       มีเหตุมีผลมากกว่าแนวคิดจิตนิยม   สามารถพิสูจน์จับต้องได้  ทดสอบได้  และมีความเป็นวิทยาศาสตร์    เท่านั้นคงไม่เพียงพอ  เรายังต้องศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงพื้นฐานทางปรัชญาของมันอีกด้วยว่ามันมีความถูกต้องจริงหรือไม่   มันเริ่มต้นจากที่ไหน?         คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าต้นกำเนิดความรับรู้ของมนุษย์มาจากหลายแหล่งเช่นมาจากการศึกษาเล่าเรียน  มาจาก สัญชาติญาณ   เช่นสัญชาติญาณทางเพศ   ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นแรงผลักดันทางชีวะเคมี(ฮอร์โมนเพศ)ของสิ่งมีชีวิต(มนุษย์และสัตว์)   หรือสัญชาติญาณในการป้องกันภัยของสัตว์หรือมนุษย์        จากข้อคิดทางสัญชาติญานนี้เอง นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายท่านได้สรุปเอาว่ามนุษย์มีความรู้ดั้งเดิมติดตัวมาก่อนแล้ว      ซึ่งความรู้เช่นนี้ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็มาจากความจัดเจนทางประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง  

บางคนบอกว่าความรู้เกิดจาก แรงบันดาล ของสิ่งที่เหนือธรรมชาติเช่น ภูต ผี ปีศาจ เทพเจ้า  หรือสิ่งศักดิ์ สิทธิ์ทั้งหลายว่า...มันเป็นต้นกำเนิดของความรับรู้ที่แท้จริง   แต่มันไม่สามารถตอบคำถามหรืออธิบายปรากฎการณ์บางอย่างได้   มันมีความคลุมเครือและไม่แน่นอน   ดังนั้นจึงมีคำถามว่า  “แล้วอย่างนั้นความรับรู้ที่แท้จริงของเรานั้นมาจากไหน?”   

นักวัตถุนิยมเชื่อในหลักการที่ว่า...มนุษย์รับรู้ได้จากการที่อวัยวะรับสัมผัสของเรา สัมผัสกับวัตถุสสารซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายเรา     เมื่อได้สัมผัสกับวัตถุแล้ววัตถุนั้นจะสะท้อนเข้าสู่สมอง    จากสมองผ่านการขบคิดและดัดแปลงแล้วจึงได้สะท้อนออกมาเป็นการปฏิบัติอีก      เมื่อปฏิบัติแล้วก็ได้สะท้อนกลับไปยังสมองอีก     เป็นการสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างความรับรู้กับการปฏิบัติ      แต่มิได้สะท้อนวนเวียน อยู่ในระนาบเดิม  หากแต่พัฒนาสูงขึ้นคล้ายขดลวดสปริงอันสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขของ “ความรับรู้” ที่สูงขึ้นและ ”เวลา” ที่ผ่านไป   เท่ากับว่ายิ่งปฏิบัติก็ยิ่งรับรู้มาก

อนึ่ง..เราสามารถยืนยันในความถูกต้องของกระบวนการรับรู้ของมนุษย์เช่นนี้ได้จากคำสั่งสอนของมหาบุรุษผู้หนึ่งที่เป็นผู้ค้นคิดและวางรากฐานเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว     เป็นบุคคลที่แทบจะไม่มีนักวัตถุนิยมคนใดกล่าวถึง     บุรุษผู้นี้คือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งนครรัฐกบิลพัสดุไม่ใช่คนลึกลับอะไรเชื่อว่าเรารู้จักกันดี          พระองค์ได้พร่ำสอนบรรยายถึงเรื่องความรับรู้ของมนุษย์ไว้ในทำนองเดียวกันว่ามาจากอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 6  ได้แก่ ตา ลิ้น จมูก หู กาย และมโน ของมนุษย์สัมผัสกับสิ่งนอกกาย(วัตถุ)  คือ  ตามองเห็นวัตถุจึงมีความรับรู้ทางรูป    ลิ้นสัมผัส..ทำให้รับรู้ทางรส  จมูกสัมผัส..ได้รับรู้เรื่องกลิ่น   หูสัม ผัสจึงได้ยินเสียง     และกายสัมผัส..ทำให้รับรู้แรงที่เข้ามากระทบ การรับรู้ทางสัมผัสแต่ละชนิดนั้นเป็นการรับรู้เฉพาะเรื่อง เฉพาะส่วน เป็นการรับรู้เบื้องต้นเท่านั้น    ส่วนมโนสัมผัสนั้นเป็นความรับรู้ที่ประมวลมาจากสัมผัสทั้งห้าอย่างแรกและมีลักษณะทั่วไป    

ขั้นตอนต่อไปเราจะมากล่าวถึงความรับรู้จากสัมผัสทั้ง 5 ประการว่าได้ให้ความรับรู้อะไรแก่เราบ้าง ไม่ใช่รู้กันแค่ รูป รส กลิ่น เสียง กาย และ มโนสัมผัสเท่านั้น
1.กายสัมผัส   เป็นความสำคัญเบื้องต้นที่เราใช้ทดสอบการมีอยู่ของ“สรรพสิ่ง” เราพอจะนึกถึงคำพัง เพยโบราณที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น  สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งมือคลำ”   ซึ่งเป็นการสรุปความรับรู้ที่ค่อนข้างจะชัดเจน    กล่าวได้ว่ากายสัมผัสนั้นเป็นรากฐานเบื้องต้นในการ “วัด” สสารและพลังงาน  ไม่ว่าจะเป็น  น้ำหนัก  ความร้อน  แสง  เสียง  ที่เป็นปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์(ฟิสิคส์)    ถ้าพิจารณาจากทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินแล้ว  เราจะเห็นว่ากายสัมผัสนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก   เป็นสิ่งที่มาก่อนสัมผัสอื่นๆโดยเฉพาะในสัตว์ชั้นต่ำที่ไม่มีตาเช่นหนอนและไส้เดือน    มันจะเร้าตอบหากเราใช้อะไรไปสัมผัสตัวมัน
2. ตาสัมผัส     เมื่อตาสัมผัสกับวัตถุด้วยการเห็นรูปแล้วก็ส่งความรู้สึกนั้นไปยังสมอง  ก็ยังเป็นรองกายสัมผัสในการเสนอความจริงแต่กลับให้รายละเอียดที่ซับซ้อนมากกว่า     เพราะสามารถจำแนกทิศทางออกไปได้เป็น 3 มิติ (กว้าง x ยาว x สูง)    เราจะสังเกตได้ว่าคนตาบอดจะรับรู้เพียงสองมิติเท่านั้นคือด้านกว้างกับด้านยาว   แต่ไม่รู้ความสูง    ตาสัมผัสจึงทำให้เราได้รู้จักกับ นามธรรมอย่างหนึ่งคือ “เวลา”  ที่เรารู้ได้ก็เพราะเราได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งๆเดียวกันแต่อยู่ต่างสถานที่กัน
3. โสตสัมผัส   ก็คือการสัมผัสทางเสียง    ที่วัตถุ(คลื่นเสียง)กระทบกับเยื่อบางๆในหู(แก้วหู) แล้วเกิดการสั่นสะเทือนไปสู่สมอง   กล่าวได้ว่า  มันเป็นการสัมผัสที่ค่อนข้างจะมีความซับซ้อน
4. ลิ้นสัมผัส  ทำให้เราได้รับรู้ถึงรสต่างๆ   ที่เป็นกระบวนการทางเคมี
5. กลิ่นสัมผัส   เป็นการสัมผัสกับเนื้อสสารโดยตรง   ทำให้เราได้รับรู้ถึงความแตกต่างทางคุณภาพของสารเคมีต่างๆเช่น เกลือแร่  กรด  ด่าง  กลิ่นของดอกไม้   กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์    ความรู้สึกทางกลิ่นนี้ทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงจากมลพิษต่างๆได้     และเป็นกระบวนการสัมผัสทางเคมีเช่นกัน
เมื่อได้รับรู้กระบวนการทางสัมผัสเบื้องต้นทั้ง 5 แล้วจะเกิดความรู้สึกขึ้น 3 ประการคือ   1. จำได้ หรือความทรงจำ(สัญญา)   2. ความรู้สึก....รัก  ชัง  ชอบ เกลียด เฉยๆ(เวทนา)    3.การปรุงแต่ง...อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ คิดประดิษฐ์ สร้างสรรค์ (สังขาร)     ทั้งสามประการนี้เป็นการรับรู้ขั้นสูงขึ้นมาอีกคือการรับรู้ทางด้านเหตุผล   มันมีลักษณะทั่วไป   เป็นสัมผัสที่หกที่เรียกว่า มโนสัมผัส หรือ จิตสัมผัส       เป็นการสัมผัสกับสิ่งที่เป็นนามธรรมอันบ่อเกิดของ จินตภาพ  และ เป็นตัวสร้างสรรจินตนาการ(ที่มาจากการปฎิบัติ)     

สำหรับนักวัตถุนิยมแล้ว มโนสัมผัส หรือจิตสัมผัสนี้ ไม่ใช่ลัทธิจิตนิยม   และไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระหรือไม่มีความหมาย    จึงไม่ควรนำไปปนเปกับลัทธิจิตนิยมแต่ก็ต้องระ  มัดระวัง...อย่าให้มีแนวโน้มไปสู่ลัทธิจิตนิยมด้วย    สรุปแล้วก็คือความรับรู้ของคนเรานั้นมาจากสสารวัตถุซึ่งเป็นสิ่งนอกกายเรา     ไม่ใช่รู้เพราะว่าคิดเอาเอง   ในทางปรัชญาคำว่า วัตถุ  นั้นหมายถึงสสาร   พลังงาน  และปรากฏการณ์ต่างๆด้วย   รวมความแล้วก็หมายถึง ”สิ่งที่มี”  นั่นเอง     

แต่ความคิดที่ถูกต้องของคนเรานั้นมาจากไหนเล่า     เหมา เจ๋อ ตุง ได้กล่าวไว้ว่าความคิดที่ถูกต้องของเราจะได้มาจากการปฏิบัติทางสังคม 3 ประการคือ   การต่อสู้ทางการผลิต   การต่อสู้ทางชนชั้น    และการทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น     เพราะชีวิตทางสังคมเป็นสิ่งกำหนดความคิดและอุดมการณ์ของเรา    และได้สรุปไว้ว่ามนุษย์เมื่อดำเนินการต่อสู้ชนิดต่างๆในการปฏิบัติทางสังคมย่อมมีความจัดเจนอันอุดม    มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ปรากฎการณ์นับไม่ถ้วนของสิ่งภายนอกได้สะท้อนเข้ามาในสมองของคนเราผ่านอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 เป็นความรับรู้ทางความรู้สึก

ที่เราต้องเรียนรู้และเข้าใจถึงกระบวนความรับรู้เช่นนี้ก็เพราะว่า    “เมื่อความคิดที่ถูกต้องของชนชั้นที่ก้าวหน้าได้เป็นที่ยึดกุมของมวลชนแล้ว     เมื่อนั้นมันจะกลายเป็นพลังทางวัตถุที่จะไปดัดแปลงสังคมและดัดแปลงโลก”      อย่างที่ เลนิน ได้กล่าวไว้     



No comments:

Post a Comment