ความคิดที่ถูกต้องของคนเรามาจากไหน?
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา...มนุษย์โบราณได้เผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สร้างหายนะภัยแก่ตนไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว พายุฝน
น้ำท่วม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความสะเทือนใจให้แก่มนุษย์เป็นอย่างมาก ได้พยายามที่จะหาคำตอบว่าอะไรเป็นสาเหตุของสิ่งเหล่านั้น เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีวิชาวิทยาศาสตร์ จึงอธิบายโลกธรรมชาติและปรากฏการณ์ของมันจากการคาดคะเน
ของตนเองและไม่สามารถเข้าใจได้ในปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างที่มีความซับซ้อน จึงใช้ความ
รู้สึกนึกคิดของตนเองไปอธิบายว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น โดยคิดเอาเองว่าเกิดจากสิ่งที่มีพลังอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติ หรือมีผู้ยิ่งใหญ่ในจินตนาการของตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังดลบันดาลให้เป็นไปนั่นเป็นรากฐานของความคิดแบบจิตนิยม
(Idealism)
ต่อมาเมื่อมนุษย์สามารถเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น
และรู้เท่าทันถึงสาเหตุที่เกิดจึงสามารถสลัดหลุดออกจากความสงสัยได้
และเริ่มคิดอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้นสามารถได้ข้อสรุปว่าทุกๆปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินั้นที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นย่อมมีสาเหตุที่แน่นอนของมัน ไม่ได้เกิดจากการกระทำของอำนาจลี้ลับใดๆหรือมีผู้ยิ่งใหญ่ตนใดมาเนรมิตให้เป็นไป
และความรับรู้ของมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับสรรพสิ่งภายนอกตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นตัววัตถุสสาร การเคลื่อน
ไหวหรือปรากฏการณ์ของมัน
ทั้งที่เป็นทั้งรูปและนาม แนวคิดอย่างหลังนี้เป็นรากฐานของความคิดแบบวัตถุนิยมหรือสสารนิยม
(materialism)
สำหรับเราแล้ว..เราเห็นว่าแนวคิดแบบวัตถุนิยมมีความถูกต้อง มีเหตุมีผลมากกว่าแนวคิดจิตนิยม สามารถพิสูจน์จับต้องได้ ทดสอบได้
และมีความเป็นวิทยาศาสตร์
เท่านั้นคงไม่เพียงพอ เรายังต้องศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงพื้นฐานทางปรัชญาของมันอีกด้วยว่ามันมีความถูกต้องจริงหรือไม่
มันเริ่มต้นจากที่ไหน? คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าต้นกำเนิดความรับรู้ของมนุษย์มาจากหลายแหล่งเช่นมาจากการศึกษาเล่าเรียน มาจาก สัญชาติญาณ เช่นสัญชาติญาณทางเพศ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นแรงผลักดันทางชีวะเคมี(ฮอร์โมนเพศ)ของสิ่งมีชีวิต(มนุษย์และสัตว์) หรือสัญชาติญาณในการป้องกันภัยของสัตว์หรือมนุษย์ จากข้อคิดทางสัญชาติญานนี้เอง นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายท่านได้สรุปเอาว่ามนุษย์มีความรู้ดั้งเดิมติดตัวมาก่อนแล้ว ซึ่งความรู้เช่นนี้ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็มาจากความจัดเจนทางประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง
บางคนบอกว่าความรู้เกิดจาก แรงบันดาล ของสิ่งที่เหนือธรรมชาติเช่น
ภูต ผี ปีศาจ เทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์ สิทธิ์ทั้งหลายว่า...มันเป็นต้นกำเนิดของความรับรู้ที่แท้จริง แต่มันไม่สามารถตอบคำถามหรืออธิบายปรากฎการณ์บางอย่างได้ มันมีความคลุมเครือและไม่แน่นอน ดังนั้นจึงมีคำถามว่า “แล้วอย่างนั้นความรับรู้ที่แท้จริงของเรานั้นมาจากไหน?”
นักวัตถุนิยมเชื่อในหลักการที่ว่า...มนุษย์รับรู้ได้จากการที่อวัยวะรับสัมผัสของเรา
สัมผัสกับวัตถุสสารซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายเรา เมื่อได้สัมผัสกับวัตถุแล้ววัตถุนั้นจะสะท้อนเข้าสู่สมอง
จากสมองผ่านการขบคิดและดัดแปลงแล้วจึงได้สะท้อนออกมาเป็นการปฏิบัติอีก
เมื่อปฏิบัติแล้วก็ได้สะท้อนกลับไปยังสมองอีก เป็นการสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างความรับรู้กับการปฏิบัติ แต่มิได้สะท้อนวนเวียน
อยู่ในระนาบเดิม หากแต่พัฒนาสูงขึ้นคล้ายขดลวดสปริงอันสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขของ
“ความรับรู้” ที่สูงขึ้นและ ”เวลา” ที่ผ่านไป
เท่ากับว่ายิ่งปฏิบัติก็ยิ่งรับรู้มาก
อนึ่ง..เราสามารถยืนยันในความถูกต้องของกระบวนการรับรู้ของมนุษย์เช่นนี้ได้จากคำสั่งสอนของมหาบุรุษผู้หนึ่งที่เป็นผู้ค้นคิดและวางรากฐานเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว เป็นบุคคลที่แทบจะไม่มีนักวัตถุนิยมคนใดกล่าวถึง
บุรุษผู้นี้คือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งนครรัฐกบิลพัสดุไม่ใช่คนลึกลับอะไรเชื่อว่าเรารู้จักกันดี พระองค์ได้พร่ำสอนบรรยายถึงเรื่องความรับรู้ของมนุษย์ไว้ในทำนองเดียวกันว่ามาจากอวัยวะรับสัมผัสทั้ง
6 ได้แก่ ตา ลิ้น จมูก หู กาย และมโน ของมนุษย์สัมผัสกับสิ่งนอกกาย(วัตถุ) คือ ตามองเห็นวัตถุจึงมีความรับรู้ทางรูป ลิ้นสัมผัส..ทำให้รับรู้ทางรส จมูกสัมผัส..ได้รับรู้เรื่องกลิ่น หูสัม ผัสจึงได้ยินเสียง
และกายสัมผัส..ทำให้รับรู้แรงที่เข้ามากระทบ การรับรู้ทางสัมผัสแต่ละชนิดนั้นเป็นการรับรู้เฉพาะเรื่อง เฉพาะส่วน เป็นการรับรู้เบื้องต้นเท่านั้น ส่วนมโนสัมผัสนั้นเป็นความรับรู้ที่ประมวลมาจากสัมผัสทั้งห้าอย่างแรกและมีลักษณะทั่วไป
ขั้นตอนต่อไปเราจะมากล่าวถึงความรับรู้จากสัมผัสทั้ง
5 ประการว่าได้ให้ความรับรู้อะไรแก่เราบ้าง ไม่ใช่รู้กันแค่ รูป รส กลิ่น เสียง
กาย และ มโนสัมผัสเท่านั้น
1.กายสัมผัส เป็นความสำคัญเบื้องต้นที่เราใช้ทดสอบการมีอยู่ของ“สรรพสิ่ง”
เราพอจะนึกถึงคำพัง เพยโบราณที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งมือคลำ” ซึ่งเป็นการสรุปความรับรู้ที่ค่อนข้างจะชัดเจน
กล่าวได้ว่ากายสัมผัสนั้นเป็นรากฐานเบื้องต้นในการ
“วัด” สสารและพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนัก ความร้อน แสง เสียง ที่เป็นปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์(ฟิสิคส์) ถ้าพิจารณาจากทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินแล้ว เราจะเห็นว่ากายสัมผัสนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก
เป็นสิ่งที่มาก่อนสัมผัสอื่นๆโดยเฉพาะในสัตว์ชั้นต่ำที่ไม่มีตาเช่นหนอนและไส้เดือน มันจะเร้าตอบหากเราใช้อะไรไปสัมผัสตัวมัน
2. ตาสัมผัส เมื่อตาสัมผัสกับวัตถุด้วยการเห็นรูปแล้วก็ส่งความรู้สึกนั้นไปยังสมอง
ก็ยังเป็นรองกายสัมผัสในการเสนอความจริงแต่กลับให้รายละเอียดที่ซับซ้อนมากกว่า เพราะสามารถจำแนกทิศทางออกไปได้เป็น
3 มิติ (กว้าง x ยาว x สูง) เราจะสังเกตได้ว่าคนตาบอดจะรับรู้เพียงสองมิติเท่านั้นคือด้านกว้างกับด้านยาว แต่ไม่รู้ความสูง ตาสัมผัสจึงทำให้เราได้รู้จักกับ นามธรรมอย่างหนึ่งคือ
“เวลา” ที่เรารู้ได้ก็เพราะเราได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งๆเดียวกันแต่อยู่ต่างสถานที่กัน
3. โสตสัมผัส ก็คือการสัมผัสทางเสียง ที่วัตถุ(คลื่นเสียง)กระทบกับเยื่อบางๆในหู(แก้วหู)
แล้วเกิดการสั่นสะเทือนไปสู่สมอง
กล่าวได้ว่า
มันเป็นการสัมผัสที่ค่อนข้างจะมีความซับซ้อน
4. ลิ้นสัมผัส ทำให้เราได้รับรู้ถึงรสต่างๆ ที่เป็นกระบวนการทางเคมี
5. กลิ่นสัมผัส เป็นการสัมผัสกับเนื้อสสารโดยตรง
ทำให้เราได้รับรู้ถึงความแตกต่างทางคุณภาพของสารเคมีต่างๆเช่น
เกลือแร่ กรด ด่าง กลิ่นของดอกไม้ กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
ความรู้สึกทางกลิ่นนี้ทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงจากมลพิษต่างๆได้ และเป็นกระบวนการสัมผัสทางเคมีเช่นกัน
เมื่อได้รับรู้กระบวนการทางสัมผัสเบื้องต้นทั้ง
5 แล้วจะเกิดความรู้สึกขึ้น 3 ประการคือ 1. จำได้ หรือความทรงจำ(สัญญา) 2. ความรู้สึก....รัก ชัง
ชอบ เกลียด เฉยๆ(เวทนา) 3.การปรุงแต่ง...อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้
คิดประดิษฐ์ สร้างสรรค์ (สังขาร)
ทั้งสามประการนี้เป็นการรับรู้ขั้นสูงขึ้นมาอีกคือการรับรู้ทางด้านเหตุผล มันมีลักษณะทั่วไป เป็นสัมผัสที่หกที่เรียกว่า มโนสัมผัส หรือ
จิตสัมผัส เป็นการสัมผัสกับสิ่งที่เป็นนามธรรมอันบ่อเกิดของ
จินตภาพ และ เป็นตัวสร้างสรรจินตนาการ(ที่มาจากการปฎิบัติ)
สำหรับนักวัตถุนิยมแล้ว มโนสัมผัส
หรือจิตสัมผัสนี้ ไม่ใช่ลัทธิจิตนิยม และไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระหรือไม่มีความหมาย
จึงไม่ควรนำไปปนเปกับลัทธิจิตนิยมแต่ก็ต้องระ
มัดระวัง...อย่าให้มีแนวโน้มไปสู่ลัทธิจิตนิยมด้วย สรุปแล้วก็คือความรับรู้ของคนเรานั้นมาจากสสารวัตถุซึ่งเป็นสิ่งนอกกายเรา ไม่ใช่รู้เพราะว่าคิดเอาเอง ในทางปรัชญาคำว่า
วัตถุ นั้นหมายถึงสสาร พลังงาน
และปรากฏการณ์ต่างๆด้วย
รวมความแล้วก็หมายถึง ”สิ่งที่มี”
นั่นเอง
แต่ความคิดที่ถูกต้องของคนเรานั้นมาจากไหนเล่า เหมา เจ๋อ ตุง ได้กล่าวไว้ว่าความคิดที่ถูกต้องของเราจะได้มาจากการปฏิบัติทางสังคม
3 ประการคือ การต่อสู้ทางการผลิต การต่อสู้ทางชนชั้น และการทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น เพราะชีวิตทางสังคมเป็นสิ่งกำหนดความคิดและอุดมการณ์ของเรา และได้สรุปไว้ว่ามนุษย์เมื่อดำเนินการต่อสู้ชนิดต่างๆในการปฏิบัติทางสังคมย่อมมีความจัดเจนอันอุดม มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ปรากฎการณ์นับไม่ถ้วนของสิ่งภายนอกได้สะท้อนเข้ามาในสมองของคนเราผ่านอวัยวะรับสัมผัสทั้ง
5 เป็นความรับรู้ทางความรู้สึก
ที่เราต้องเรียนรู้และเข้าใจถึงกระบวนความรับรู้เช่นนี้ก็เพราะว่า “เมื่อความคิดที่ถูกต้องของชนชั้นที่ก้าวหน้าได้เป็นที่ยึดกุมของมวลชนแล้ว เมื่อนั้นมันจะกลายเป็นพลังทางวัตถุที่จะไปดัดแปลงสังคมและดัดแปลงโลก”
อย่างที่ เลนิน ได้กล่าวไว้
No comments:
Post a Comment