Friday, February 20, 2015

เศรษฐศาสตร์การเมืองเบื้องต้น

ปัจจุบันนี้ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยม    ทำให้มวลชนกรรมกรจำต้องรีบเร่งพัฒนาความรับรู้ของตนในเรื่องเศรษฐกิจให้มากขึ้น    ต้องพยายามทำความเข้าใจต่อพลังที่ครอบงำการดำรงชีพของพวกเราอยู่        เอกสารนี้เป็นการนำเสนอเศรษฐศาสตร์แบบลัทธิมาร์กซหรือที่นิยมเรียกกันว่าเศรษฐ ศาสตร์การเมือง         ด้วยมีความตั้งใจที่จะยกระดับจิตสำนึกของกรรมกรเราเกี่ยวกับความรับรู้ในเรื่อง  ศาสตร์เบื้องต้น      ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะและกฎขั้นพื้นฐานของระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่กำลังครอบงำการดำรงชีวิตของเราอยู่ในทุกวันนี้   
ความไม่ลึกซึ้งพอของเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมได้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในความเข้าใจวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบของตัวมันเอง    มันได้แสดงบทบาทเพียงเพื่อปกปิดซ่อนเร้นการเอารัดเอาเปรียบที่กระทำต่อกรรมกรทั้งหลาย    และพยายามจะพิสูจน์ให้เห็นว่าระบอบทุนนิยมเป็นระ บอบที่ดีที่สุดของสังคมเท่านั้น?   ทฤษฎีและวิธีแก้ปัญหาของมันไม่อาจเยียวยารักษาความเสื่อมโทรม ซึ่งเป็นโรคร้ายโดยธรรมชาติของระบอบทุนนิยม    มีแต่ต้องเปลี่ยนแปลงสังคมไปในวิถีแห่งสังคมนิยมเท่านั้นจึงจะสามารถหยุดยั้งฝันร้ายของ ความซบเซา ความยุ่งเหยิงทางเศรษฐกิจและการว่างงานได้
ชนชั้นปกครองอนุรักษ์นิยมไม่ยอมรับ เคนส์ พระเจ้าองค์เก่าอีกต่อไป    และหันไปใช้วิธีทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมมาแก้ไขวิกฤติ     ไม่ว่าจะเป็นการตัดลด(cuts) เช่นลดค่าจ้าง ลดสวัสดิการ ลดเงินบำนาญ ลดการจ้างงานและการชะลอการผลิตเป็นต้น       บรรดานักปฏิรูปปีกซ้ายยังคงยึดติดกับนโยบายของระบอบทุนนิยมที่เคยใช้กันมาเช่น  การอัดฉีดเงินเข้าระบบ  ควบคุมการนำเข้า ฯลฯเป็นที่รู้กันดีถึงความไร้ประสิทธิภาพภายใต้ระบอบทุนนิยม       มีแต่ความเข้าใจระบอบทุนนิยมแบบลัทธิมาร์กซเท่านั้นจิต สำนึกของมวลชนกรรมกรจึงจะสามารถทะลุผ่านการบิดเบือนของนักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมและคัดค้านอิทธิพลของมันด้วยการเคลื่อนไหวทางด้านต่างๆโดยเฉพาะในด้านแรงงาน
เองเกลส์ได้กล่าวไว้ว่า  “หลักการของการแบ่งงานกันทำตั้งอยู่บนรากฐานของการแบ่งแยกทางชนชั้น”  เมื่อสังคมมีการแบ่งงานกันทำ    ก็เนื่องมาจากสาเหตุที่มีผลผลิตส่วนเกินนอกเหนือไป จากการผลิตเพื่อดำรงชีพ       สังคมในขณะนี้จึงมิได้ประกอบด้วยแรงงานจำเป็นอย่างที่เคยเป็นแล้ว เพราะผลผลิตจากแรงงานบางส่วนถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยคนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ทำการผลิตเพื่อประ ทังชีวิตของพวกเขา,แต่ยังชีพอยู่ได้โดยอาศัยแรงงานของผู้อื่น       สถานการณ์เช่นนี้..คนส่วนที่รับผลผลิตจากแรงงานส่วนเกินเพื่อการดำรงชีพจึงกลายไปเป็นชนชั้นปกครอง    ในสังคมจึงได้เกิดแรง งานขึ้นมาอีกชนิดหนึ่งที่นอกเหนือไปจากแรงงานจำเป็นเรียกว่าแรงงานส่วนเกิน       เราสามารถจำแนกได้ว่าผลผลิตที่ผลิตขึ้นเพื่อการยังชีพนั้นมาจากแรงงานจำเป็น      ส่วนผลผลิตที่เกินไปจากความจำเป็นในการเลี้ยงชีพเรียกว่าผลผลิตส่วนเกินผลิตโดยแรงงานส่วนเกินของชนชั้นกรรมกรที่ถูกชนชั้นปกครองแย่งยึดเอาไป   ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตตามธรรมชาติ สินค้า หรือเงินตรา
ฐานะของทุนนิยม    ขณะนี้การผลิตแบบทันสมัยได้รวมศูนย์อยู่ในมือของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย  เช่น ลีเวอร์บราเดอร์ส  ปตท. ซีพี  ปูนซีเมนต์ ฯลฯ  บวกกับธนาคารและบริษัทธุรกิจการเงินขนาดใหญ่ทำให้ชีวิตของประชาชนไทยต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำของบริษัทที่ยกต้วอย่างมานี้      จริงอยู่แม้ ว่ากิจการเล็กๆยังสามารถดำรงอยู่ได้.แต่ก็เป็นเพียงตัวแทนของอดีตเท่านั้นไม่ใช่สำหรับอนาคต(เพราะ    ไม่นานก็จะถูกกลืน)   การผลิตสมัยใหม่เป็นระบบที่จำเป็นต้องผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากและเป็นธุรกิจที่มีขอบเขตกว้างขวาง       ในยุคสมัยของมาร์กซ...เมื่อนักเศรษฐศาสตร์แนวหน้าได้ทำนายถึงระบบเศรษฐกิจในอนาคตว่าจะเป็นระบบการค้าเสรี         ในขณะที่มาร์กซได้อธิบายถึงพัฒนาการของระบบผูกขาดที่มาจากการแข่งขัน..จะทำให้บริษัทเล็กๆต้องหันหลังชนกำแพง และมีทางเลือกอยู่เพียงสองทางคือ  หากไม่ถูกกลืนกินไปก็ต้องเลิกกิจการ    ระบบทุนนิยมผูกขาดจึงได้เติบโตขึ้นและไม่ได้สนใจต่อการแข่งขันอย่างเสรี
แรกทีเดียว....สินค้าและสิ่งต่างๆได้ผลิตขึ้นมาด้วยจุดประสงค์หลักก็เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์และเป็นที่ชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นในทุกๆสังคม     แต่ภายใต้ระบอบทุนนิยม....สินค้าไม่ได้ผลิตขึ้นมาเพียงเพื่อสนองความพอใจและความต้องการของใครคนใดคนหนึ่ง     หากแต่เป้าประสงค์แรกสุดก็คือการ ”ขาย” ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งของระบบอุตสาหกรรมแบบทุนนิยม      เหมือนที่อดีตประธานบริษัทผลิตรถยนต์ใหญ่แห่งหนึ่งได้กล่าวว่า “ผมทำธุรกิจเพื่อทำเงิน  ไม่ใช่รถยนต์”  คำ พูดประโยคนี้เป็นการแสดงถึงความปรารถนาที่สมบูรณ์แบบของชนชั้นนายทุน     
ระบบการผลิตแบบทุนนิยมต้องการปัจจัยที่มีอยู่ 2 ประการคือ   หนึ่ง.การมีอยู่ของชนชั้นผู้ไร้สมบัติจำนวนมหาศาล...ซึ่งหมายถึงกรรมกรผู้ถูกบีบให้ขายแรงงานของตนเพื่อแลกกับอาหารสำหรับประทังชีวิต     ดังนั้นทัศนะคติเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตยในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน”   ของพวกอนุรักษ์นิยมจึงเป็นทัศนะที่เหลวไหลอย่างมากภายใต้ระบอบทุนนิยม     เพราะหากว่าประชาชนส่วนใหญ่สามารถเป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว      ชนชั้นนายทุนคงไม่อาจหากรรมกรมาทำงานเพื่อทำ “กำไร” ให้แก่ตนได้      สอง.ปัจจัยการผลิตจะต้องรวมศูนย์อยู่ในมือของนายทุน     เป็นเวลามากกว่าศตวรรษที่บรรดาชาวนาและผู้ถือครองปัจจัยในการดำรงชีพได้ถูกบดขยี้ลงอย่างไร้เมตตาธรรม    และปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตได้ถูกนายทุนและเจ้าที่ดินแย่งยึดเอาไป     และจ้างกรรมกรทำงานโดยใช้ปัจ จัยการผลิตเหล่านั้นมาสร้างผลผลิตและกำไรส่วนเกินให้แก่ตนเอง
สินค้า และ มูลค่า     ระบบทุนนิยมทำงานอย่างไร?...ทำไมกรรมกรจึงถูกเอารัดเอาเปรียบ?...กำไรมาจากไหน?...อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ    การจะตอบคำถามเหล่านี้แรกสุดเรามีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้กุญแจที่ไขไปสู่ความลับเสียก่อนว่า... ....อะไรคือมูลค่า (value)?  เราจึงจะสามารถตอบปัญหาเหล่านี้ได้และคำถามเรื่องอื่นๆก็จะตกไป    ความเข้าใจเรื่องมูลค่านี้เป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดในการทำความเข้าใจระบบเศรษฐศาสตร์ของสังคมทุนนิยม       เราจะมาเริ่มต้นที่บรรดาบริษัทผลิตสินค้าหรือบริการในระบอบทุนนิยมกันก่อน        สินค้าพวกนี้ผลิตเพื่อขายอย่างเดียวและแน่นอนอาจมีบ้างที่ผลิตเพื่อใช้สอยส่วนตัว      
ก่อนที่ระบอบทุนนิยมจะเกิดขึ้น,มนุษย์ได้ทำการผลิตมาแล้วแต่นั่นไม่ใช่ “สินค้า” การผลิตแบบทุนนิยมได้สร้างและสะสมสินค้าขึ้นมาเป็นจำนวนมาก      และนั่นเป็นสาเหตุให้มาร์กซได้เริ่มตรวจสอบระบอบทุนนิยมด้วยการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของตัว “สินค้า”  และสรุปได้ว่า   สินค้าคือสิ่งใดๆที่สามารถ สนองความต้องการของมนุษย์ได้  แลกเปลี่ยนได้    ประโยชน์ของสินค้าแต่ละชนิดย่อมเป็นสิ่งที่กำหนดมูลค่าของมัน  แต่ถ้าหากสิ่งใดๆไม่ได้ถูกใช้สอยย่อมไม่เกิดมูลค่า   ตัวอย่างเช่นมูลสัตว์เมื่อทิ้งไว้เฉยๆก็ไม่เกิดมูลค่าแต่อย่างใด      แต่เมื่อมีความต้องการใช้ประโยชน์โดยการนำไปทำปุ๋ยก็จะเกิดมูลค่าขึ้นมาทันทีนั่นคือ “มูลค่าใช้สอย”     มาร์กซกล่าวว่า “สิ่งหนึ่งสามารถมีมูลค่าใช้สอยได้  แต่ไม่มีมูลค่า   นั่นคือตราบเท่าที่สิ่งนั้นมนุษย์นำมาใช้สอยได้แต่ไม่ได้เกิดจากแรงงานเช่นอากาศ  ทะเล  แม่น้ำ ฯลฯ”   (แต่ในปัจจุบันอาจจะแตกต่างไปจากทัศนะของมาร์กซ เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยี)
นอกจากจะมีมูลค่าใช้สอยแล้วมันยังจะต้องผ่านการแลกเปลี่ยน,แล้วหมุนเวียนไปอยู่ในมือคนอื่นๆ ลักษณะที่มันจะแลกเปลี่ยนกับผลิตภัณฑ์อย่างอื่นได้ดังกล่าวนี้เราเรียกว่า “มูลค่าแลกเปลี่ยน”   ผลิตผลใดที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เองโดยไม่ได้นำไปแลกเปลี่ยนก็ยังไม่นับว่าเป็นตัวสินค้า   เช่นชาวนานำ ข้าวที่ผลิตได้ไปชำระค่าเช่าแก่เจ้าที่ดินโดยมิได้ค่าตอบแทนและไม่ได้แลกเปลี่ยนโดยผ่านการซื้อขายในกรณีเช่นนี้ข้าวจึงยังไม่ใช่สินค้า    ในขณะที่สินค้าต่างๆสามารถจะนำมาเปรียบเทียบกันได้สามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์เป็นสัดส่วนกันทางจำนวน   ดังนั้นมูลค่าของสินค้าแต่ละชนิดจึงมี ”อะไร” ร่วมกันอยู่....นั่นคือแรงงานมนุษย์ที่ต้องสิ้นเปลืองไปในการผลิตสินค้า    แม้ว่ามูลค่าใช้สอยของสินค้าแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน     แต่การสิ้นเปลืองแรงงานกลับเหมือนกันเพราะว่าสินค้าทุกชนิดล้วนเป็นผลิตผลของการใช้แรงงานที่แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมด้วยระยะเวลาเป็นเดือน  สัปดาห์  วัน  ชั่วโมง ฯลฯ
ในสังคมทุนนิยมนั้นการผลิตสินค้าคือการผลิตมูลค่าในการแลกเปลี่ยน   มันได้บรรลุถึงการพัฒนาการ ที่สูงสุดและก้าวหน้าที่สุดของสังคม    ผู้ผลิตสินค้าทำการผลิตโดยมิได้มุ่งหวังเพื่อความต้องการมูลค่าในการใช้สอย   แต่มุ่งหวังให้เกิด มูลค่า ขึ้น เพื่อจะแลกกับสินค้าอย่างอื่นได้  เช่นช่างเหล็กไม่ได้หวังที่จะใช้ประโยชน์ในการใช้จอบเสียมที่เขาผลิตขึ้น       ความปรารถนาของเขาก็คือนำเอาจอบเสียมไปขายเพื่อให้มันเกิดมูลค่า      ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างแรงงานส่วนตัว และ แรงงานสังคม   อีกประประเด็นหนึ่งที่ว่า..ทำไมถึงกล่าวว่าการผลิตมีลักษณะสังคม?   ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่ามูลค่าใช้สอยที่ผู้ผลิตสินค้าได้ผลิตออกมานั้นมิได้สนองต่อความต้องการของพวกเขา   หากแต่เป็นการสนองต่อความต้องการของสังคม    ดังนั้นแรงงานของผู้ผลิตจึงมีลักษณะสังคม
แรงงานเฉลี่ย    ถ้าเรามองถึงประโยชน์ใช้สอยในตัวสินค้า   เราก็จะเห็นแต่เพียงว่า รองเท้า  หมวก ฯลฯ เป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นมาโดยแรงงานของกรรมกร...ซึ่งก็คือแรงงานของช่างทำรองเท้า  แรงงานของช่างทำหมวกเรียกว่า แรงงานรูปธรรม ซึ่งสร้างมูลค่าใช้สอย มันมีลักษณะเฉพาะ    แต่ในการแลก เปลี่ยนสินค้านั้นมุมมองจะแตกต่างออกไป เพราะลักษณะพิเศษที่ถูกมองข้ามก็คือเวลาเฉลึ่ยในการใช้แรงงาน     ดังนั้นในการแลกเปลี่ยนสินค้าเราจึงต้องคำนึงถึงจำนวนแรงงานที่มนุษย์ใช้ไปในการผลิตสินค้าด้วย   และแน่นอน...สินค้าที่ผลิตโดยแรงงานมีฝีมือที่มีความชำนาญย่อมมีมูลค่าโดยเฉลี่ยแล้วมากกว่าสินค้าที่ผลิตโดยแรงไร้ฝีมือ    แต่ทว่าในการแลกเปลี่ยน....จำนวนแรงงานที่มีฝีมือกลับถูกทำให้ลดน้อยลงในอัตราเฉลี่ยเท่ากับแรงงานที่ไม่มีฝีมือ    อธิบายง่ายๆก็คือ,สินค้าถูกนำไปขายในตลาดผู้ซื้อเห็นแต่ตัวสินค้าไม่เห็นผู้ผลิตพวกเขายอมรับเฉพาะปริมาณทางมูลค่าเพียงอย่างเดียว    แต่มูลค่าของสินค้าถูกพิจารณาโดยจำนวนของแรงแรงงานเฉลี่ย    ดังนั้นมูลค่าของสินค้าจึงไม่สามารถกำหนด โดยระยะเวลาของการใช้แรงงานที่มีลักษณะทั่วไป     เราเรียกแรงงานชนิดนี้ว่าแรงงานนามธรรม    ซึ่งก็คืออัตราเฉลี่ยของแรงงานที่ใช้ไปในการผลิตสินค้า,มีลักษณะทั่วไป    เป็นแรงงานที่สร้างมูลค่าแลกเปลี่ยน       ตัวอย่างรูปธรรมก็คือ...ในการผลิตถุงเท้า 10 คู่ แรงงานที่มีฝีมือจะใช้เวลา10 ชั่วโมง   แต่แรงงานไม่มีฝีมือจะใช้เวลา 14 ชั่วโมง     ดังนั้นแรงงานถัวเฉลี่ยที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก็คือ 12 ชั่วโมง
เมื่อพูดถึงปริมาณการใช้แรงงานเป็นตัวกำหนดมูลค่า   มิใช่แต่จะจำแนกเวลาการใช้แรงงานส่วนตัวกับแรงงานจำเป็นของสังคมเท่านั้น    หากต้องจำแนกแรงงานมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมืออีกด้วย  สิ่งที่เรียกว่าแรงงานไม่มีฝีมือคือแรงงานที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนทางเทคนิคเฉพาะเรื่อง   ในขณะที่แรงงานมีฝีมือจำต้องผ่านการฝึกฝนมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง   การใช้แรงงานในการผลิตในสาขาต่างๆล้วนแล้ว แต่ต้องมีการฝึกฝนทักษะมาเป็นอย่างดี      เราจะเห็นว่าการตัดอ้อยย่อมไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมากไป   กว่าการประกอบรถยนต์   เมื่อเป็นเช่นนี้แรงงานของคนตัดอ้อยย่อมไม่เท่ากับแรงงานของช่างประกอบรถยนต์ในเวลาทำงาน1ชั่วโมงเท่ากัน    เพราะถ้าเท่ากัน…..คนทั้งหลายก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่าเรียนทักษะพิเศษอะไรกันแล้ว      ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าแรงงานของช่างประกอบรถยนต์ย่อมมีค่ามากกว่าแรงงานของคนตัดอ้อยในระยะเวลาทำงานที่เท่ากัน       ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า  มูลค่าคือการใช้แรงงานของสังคมที่เป็นองค์ประกอบอยู่ภายในตัวสินค้า
ต่อประเด็นนี้มาร์กซได้กล่าวไว้ในนิพนธ์  “วิพากษ์นโยบายโกธา” เกี่ยวกับความเสมอภาคทางด้านแรงงานว่า “ความเสมอภาควัดกันโดยบรรทัดฐานเดียวกันคือแรงงาน   แต่ทว่าคนหนึ่งเหนือกว่าอีกคนหนึ่งในทางกำลังกายหรือสติปัญญา    ดังนั้นจึงสนองแรงงานได้มากกว่าในช่วงเวลาเดียวกัน   หรือทำงานได้มากกว่า    และเพื่อที่จะให้แรงงานเป็นบรรทัดฐาน  จะต้องว่ากันที่ระยะเวลาและความหนักเบาของมัน   มิฉะนั้นแล้วย่อมถือเอาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้     สิทธิเสมอภาคนี้เป็นสิทธิที่ไม่เสมอภาคสำหรับแรงงานที่ไม่เท่าเทียมกัน    มันไม่รับรองความเหลื่อมล้ำใดๆในทางชนชั้น เพราะว่าทุกคนต่างก็เป็นผู้ใช้แรงงานเช่นเดียวกับคนอื่น    แต่ทว่ามันรับรองโดยดุษฎีถึงเชาว์ปัญญาที่ไม่เท่ากัน  ดังนั้นมันจึงเป็นการรับรองกันว่าความสามารถในการทำงานที่ไม่เท่าเทียมกันนั้นเป็นอภิสิทธิ์โดยธรรมชาติ… ”
มูลค่าส่วนเกิน     จากทฤษฎีความสัมพันธ์ของมูลค่ากับแรงงาน มาร์กซยังได้สร้างทฤษฎีมูลค่าส่วน เกินขึ้นมา  เป็นการฉีกหน้ากากของบรรดานายทุนทั้งหลาย    เราทราบกันว่า..ภายหลังการแบ่งงานกันทำแล้ว ทำให้มีการยอมรับในทรัพย์สินส่วนบุคคล   ดังนั้นสินค้าที่แต่ละคนผลิตขึ้นมาจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ผลิต     แต่สินค้าแต่ละชนิดนั้นจะต้องมีมูลค่าใช้สอยจึงจะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าตัวอื่นๆได้    สืบเนื่องมาจากการยอมรับกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล.. ทำให้เกิดค่านิยมของความเห็นแก่ตัว  มือใครยาวสาวได้สาวเอา    มีการเอารัดเอาเปรียบกันอย่างรุนแรง    นายทุนผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตย่อมเห็นช่องทางในการขูดรีดกรรมกรที่ไร้ปัจจัยการผลิต     จึงเป็นบ่อเกิดของมูลค่าส่วนเกินหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคืออัตราการขูดรีดแรงงานนั่นเองซึ่งมีรูปธรรมดังนี้
1  การเพิ่มเวลาทำงาน  โดยให้ค่าจ้างเท่าเดิม เรียกว่ามูลค่าส่วนเกินแบบสัมบูรณ์ วิธีการเช่นนี้บรรดานายทุนในระยะต้นของระบอบทุนนิยมมักจะใช้กันอยู่เป็นประจำ   และได้รับการต่อต้านจากกรรมกรมาตลอดเช่นกัน     ดังนั้นนายทุนจึงคิดค้นวิธีขูดรีดแรงงานส่วนเกินขึ้นมาอีกได้แก่
2  กำหนดเวลาทำงานเท่าเดิม   แต่เร่งการผลิตให้เร็วขึ้นโดยวิธีต่างๆ(ใช้เทคโนโลยี่)เรียกว่ามูลค่าส่วนเกินสัมพัทธ์ 
ในปัจจุบันนี้การขูดรีดแรงงานส่วนเกินได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆขึ้นอีกมากมายเช่นการเหมางาน  การนับชิ้นงาน  และบริษัทนายหน้าหาแรงงานให้กับโรงงานอุตสาหกรรม   การผลิตที่มีลักษณะเป็นสายการ ผลิต(process)ซึ่งบีบให้กรรมกรต้องทำงานตลอดเวลา   หากขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งสะดุดลงกระบวน การผลิตทั้งกระบวนก็จะหยุดลง   กรรมกรจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน   ฯลฯ   นั่นหมายความว่ากรรมกรถูกบีบให้ทำการผลิตผลิตเพื่อตัวเองน้อยลง,ผลิตให้นายจ้างมากขึ้น        ค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าพลังแรงงาน ของกรรมกรได้แก่ตัวเงิน   อาจจะคิดเป็นรายเดือน รายวัน  รายชั่วโมง แล้วแต่จะตกลงกัน  เรียกว่าค่าแรงในนาม หรือ ค่าแรงเทียม     แต่สิ่งที่กรรมกรต้องการเพื่อยังชีพจริงๆนั้นมิใช่เงิน ตรา..หากแต่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตตามความเป็นจริงที่ซื้อหามาด้วยเงินค่าจ้าง   จึงเรียกว่าค่าแรงที่เป็นจริง   ซึ่งเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของกรรมกร 
เงินตรา    การแลกเปลี่ยนขั้นต้นของมนุษย์ก็คือการแลกเปลี่ยนกันโดยตรงระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นเมื่อพัฒนาการของการแบ่งงานกันทำในสังคม ..การแลกเปลี่ยนสินค้าและความหลากหลายของสินค้าที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกันมีมากขึ้น      ทำให้การแลกเปลี่ยนสินค้ามีความยุ่งยากซับซ้อนและไม่สะดวกโดยเฉพาะในการขนย้าย   การกำหนดมูลค่า  ฯลฯ    อีกทั้งการแลกเปลี่ยนโดยตรงไม่สามารถสนองความต้องการสินค้าของทั้งสองฝ่ายได้   หากความต้องการสินค้าที่ต่างฝ่ายต้องการ   การแลกเปลี่ยนจึงจะประสบความสำเร็จได้ หากไม่..ก็จะเกิดปัญหาขึ้น   จึงมีการพัฒนามาใช้ ”สื่อกลาง ในการแลก เปลี่ยนโดยการตีราคาสินค้าเป็นตัวเงินแทน    ในที่สุด”สื่อกลาง ที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไปได้ แก่ทองคำ   โดยคุณสมบัติของมันในฐานะที่เป็นสินค้าตัวหนึ่งและมีมูลค่าใช้สอยของมัน   นั่นหมาย ความว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าของสินค้าอื่นๆได้โดยผ่านการเปรียบเทียบ    กล่าวคือ..ไม่ว่าสินค้าชนิดใดหากต้องการจะนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่นก็จะต้องเทียบมูลค่าของมันกับทองคำเสียก่อน  จากนั้นถึงจะนำไปแลกกับสินค้าชนิดอื่นที่ถูกกำหนดมูลค่าโดยทองคำเช่นกัน     สมมุตว่าข้าวเปลือกหนึ่งเกวียนเทียบมูลค่าเท่ากับทองคำหนัก 1 บาท        เมื่อนำไปแลกกับหมูที่มีมูลค่าเมื่อเทียบกับทองคำแล้ว   หมูหนึ่งตัวเทียบเท่ามูลค่าทองคำ  1 สลึง      ดังนั้นข้าว 1 เกวียนจะแลกหมูได้ 4 ตัว อย่างนี้เป็นต้น    
ทองคำซึ่งมีบทบาทเป็นสื่อกลางในการเปรียบเทียบมูลค่าของสินค้าเพื่อการแลกเปลี่ยนนั้นเรียกกันว่าเงินตรา  นอกจากจะมีบทบาทดังที่กล่าวมาแล้ว   ทองคำยังถือว่าเป็นมาตรการของการเดินสะพัดของสินค้าด้วย     ที่เรียกว่าการเดินสะพัดของสินค้า    ก็คือการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ใช้เงินตราเป็นสื่อกลางนั่นเอง     ราคาก็คือการแสดงออกของมูลค่า   ดังนั้นทองคำจึงถูกใช้แทนมูลค่า เนื่องมาจากคุณสมบัติของมันคือ หายาก   มีความทนทาน    แม้จะมีจำนวนเพียงเล็กน้อยมันก็ยังคงคุณค่าอยู่ในตัวของมัน  ทั้งยังสามารถแบ่งย่อยออกไปในรูปต่างๆอีกด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปของเหรียญกษาปณ์     แม้จะใช้โลหะอย่างอื่นมาทำเหรียญแต่ทองคำก็ยังคงเป็นตัวกำหนดมูลค่าอยู่นั่นเอง
มีคำถามหนึ่งซึ่งเราเคยได้ยินมาบ่อยๆนั่นคือ   “เงินตราเป็นทุนหรือไม่”   ตอบว่าทั้งเป็นและไม่เป็นโดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นเช่นนั้นซึ่งก็ถูกต้องแต่ไม่ทั้งหมด    สำหรับนักลัทธิมาร์กซมองว่า      ถ้าเงินตราถูกนายทุนใช้เป็นเครื่องมือในการขูดรีดจะพิจารณาว่ามันเป็น “ทุน”   แต่ถ้าใช้มันเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน   ฐานะความเป็นทุนของมันก็จะไม่เกิดขึ้น
ทุน    เราทราบกันแล้วว่าเศรษฐกิจสังคมบรรพกาลเป็นเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ      การผลิตมีจุดมุ่ง หมายอยู่ที่การใช้สอยบริโภค ช่วงเวลาระหว่างสังคมบรรพกาลกับสังคมทุนนิยมนั้นนับเป็นช่วงที่ยาวนานมากในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ      ก่อนจะถึงสังคมทุนนิยม(ยกเว้นในสังคมบรรพกาล)ก็ได้มีการผลิตสินค้าด้วยกิจการขนาดเล็กแล้ว       นอกจากเพื่อใช้สอยแล้วยังทำการผลิตเพื่อนำไปแลกเปลี่ยน-ซื้อขายอีกด้วย    ในสังคมที่มีรากฐานการผลิตสินค้าด้วยกิจการขนาดเล็กนี้มีการดำเนิน งานทางเศรษฐกิจสองชนิดคือการ ขายเพื่อซื้อ และ ซื้อเพื่อขาย    ตัวอย่างเช่นชาวนาและช่างฝีมือได้นำผลผลิตของตนไปยังตลาดเพื่อขายสินค้า     ต้องการจะนำเอาเงินที่ได้มาไปซื้อสินค้าอื่นๆที่ต้อง การ     เช่นชาวนาขายข้าวเพื่อไปซื้อเสื้อผ้า    ช่างฝีมือนำผ้า(ทอ) ไปขายเพื่อได้เงินมาซื้อข้าว    กิจกรรมชนิดนี้เรียกว่าการ  ขายเพื่อซื้อ    ในขณะเดียวกันก็มีคนประเภทหนึ่งที่ไม่มีสินค้าอะไร  ไม่ผลิตอะไร  แต่มีเงินไปซื้อสินค้าเพื่อจะนำไปขายต่อ   กิจกรรมของเขาก็คือการ ซื้อเพื่อขาย    
ปฏิบัติการ ซื้อเพื่อขาย นี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อนำไปขายต่อด้วยราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมา     นั่นหมาย ความว่าเขาได้รับมูลค่าส่วนเกินไปแล้ว     คงไม่มีใครที่จะขายสินค้าในราคาเดียวกันกับที่ซื้อมา   ดัง    นั้นจึงอาจนิยามได้ว่า..ทุนเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น จากมูลค่าส่วนเกิน     ทุนที่มาจากมูลค่าส่วนเกินนั้นได้เกิดขึ้นในสังคมที่มีรากฐานการผลิตสินค้าขนาดเล็กก่อนหน้าระบอบทุนนิยมแล้ว  ดังนั้น “ทุน” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาก่อนวิถีการผลิตแบบทุนนิยม        การสะสมทุนชนิดนี้เรียกกันว่าการสะสมทุนแบบบรรพกาล..ซึ่งรวมไปถึงดอกเบี้ยและค่าเช่าด้วยโดยเฉพาะในยุคสังคมศักดินา     ตลอดระยะเวลาที่ผ่านจากสังคมก่อนทุนนิยมไปสู่ทุนนิยมนั้นมีลักษณะของการใช้ทุนเข้าไปมีส่วนในการผลิต     ทุนจึงไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่เป็นตัวกลางและเป็นตัวขูดรีดในรูปแบบการผลิตที่มิใช่แบบทุนนิยมเท่านั้น  สำ  หรับการผลิตแบบทุนนิยม.....ทุนจะมีบทบาทอย่างสูงในการเข้าไปควบคุมปัจจัยการผลิตและยังแทรกเข้าไปในระบบการผลิตอีกด้วย   วิถีการผลิตแบบทุนนิยมได้แยกผู้ผลิตออกจากปัจจัยการผลิต  เนื่อง จากปัจจัยการผลิตเป็นกรรมสิทธ์ของนายทุน      ในขณะเดียวกันก็มีการรวมศูนย์ปัจจัยการผลิตไปอยู่ในมือของชนชั้นเดียวคือชนชั้นนายทุน
ทุนสองชนิด
ทุนคงที่ หริอ ทุนไม่ผันแปร...ในกระบวนการผลิต   เครื่องจักร..และวัตถุดิบต่างๆได้สูญเสียมูลค่าใช้สอยของมันไปแล้ว   มูลค่าที่สูญไปนี้ได้ก่อรูปขึ้นมาใหม่ในรูปของผลิตภัณฑ์     มูลค่าของมันได้ย้ายเข้าไปอยู่ในสินค้าตัวใหม่      นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่ามูลค่าของวัตถุดิบทั้งหมดได้ถูกสลายไปในระหว่างกระบวนการผลิต     แล้วไปปรากฎขึ้นในชื่อของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาใหม่       แต่สำหรับเครื่องจักรนั้นไม่ได้สูญหายไปจากการแปรรูป..แต่มันมีการเสื่อมค่าลงในกระบวนการผลิต  นั่นคืออายุการใช้งานจะสั้นลงในช่วงเวลาที่แน่นอนหนึ่งๆ,เครื่องจักรที่ใช้งานมานานประสิทธิภาพจะลดลง    ชนชั้นนายทุนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยการคำนวณอย่างคร่าวๆว่าเครื่องจักรจะใช้งานได้นานเท่าใด   การเสื่อมราคาของเครื่องจักรคือการสูญเสียมูลค่าใช้สอยของมันไปเป็นรายวัน      มูลค่าใช้สอยที่สูญเสียไปนั้นได้ถูกคำนวณและได้บวกรวมเข้าไปในราคาของผลิตภัณฑ์   นั่นหมายความว่าค่าเสื่อมราคาของปัจจัยการผลิตได้ถูกบวกเข้าไปในตัวสินค้าแล้วทั้งหมด      ทุนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร โรงงาน  วัตถุ ดิบเรียกว่า ทุนคงที่ หรือ ทุนไม่ผันแปร
ทุนผันแปร หรือ ทุนไม่คงที่  ซึ่งก็คือเงินทุนที่นายทุนซื้อพลังแรงงานจากกรรมกร   เราทราบกันแล้วว่าแรงงานกรรมกรนั้นเป็นสินค้าพิเศษ   ในขณะที่ถูกใช้ไป(ในการผลิต)   กลับไม่สูญเสียมูลค่าไปหากยังได้สร้างมูลค่าใหม่ขึ้นมามากกว่าราคาที่ถูกซื้อไปเสียอีก     ตัวอย่างเช่นนายทุนใช้เงิน 300 บาทไปซื้อพลังแรงงานกรรมกรใน 1 วัน      การใช้แรงงานของกรรมกร 1วันสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า  400 บาทขึ้นมา    นายทุนได้ขายผลิตภัณฑ์นี้ออกไปในราคา 400 บาท และครอบครองมูลค่าทั้งหมดไป     ในกระบวนการเคลื่อนไหวของทุนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมูลค่าขึ้น   คือมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น  ทุนส่วนที่ใช้ซื้อพลังแรงงานนี้จึงเรียกว่า ทุนผันแปร หรือ ทุนไม่คงที่       ยกตัวอย่างเช่นเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นซึ่งถือได้ว่าเป็นทุนคงที่      ใช้แรงงานเพียง  20 คนควบคุมเรือ,พลังแรง งานของคนทั้ง  20 คนนี้ย่อมเป็นนายทุนซื้อหามา(จ้างมา)  ถือว่าเป็นทุนที่ผันแปร    
กำไร   บรรดานายทุนจะเรียกเงินที่พวกเขาได้เพิ่มขึ้นมาว่า “กำไร”  ดังนั้นกำไรที่แท้แล้วก็คือมูลค่าส่วนเกินหรือตัวจำแลงของมูลค่าส่วนเกินที่นายทุนขูดรีดเอาไปจากกรรมกรนั่นเอง     ไม่ใช่อย่างที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ชนชั้นนายทุนได้อธิบายไว้ว่า     กำไรคือการซื้อสินค้ามาด้วยราคาถูกแต่ขายไปในราคาแพง   ต่อเรื่องนี้มาร์กซได้อธิบายคัดค้านนิยามที่เหลวไหลในบทความเรื่อง “ค่าจ้าง แรงงาน และทุน” ของท่านว่า  เมื่อมนุษย์กลายไปเป็นผู้ขายเขาจะต้องสูญเสียความเป็นผู้ซื้อไป    เราไม่อาจกล่าวได้เลยว่ามนุษย์เป็นเพียงผู้ซื้อเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากผู้ขายหรือผู้บริโภคโดยไม่มีผู้ผลิต     พวกเขาจะไม่ได้อะไรเลย    ถ้าในขั้นแรกมีคนเอาเงินของคุณไปและหลังจากนั้นก็นำเงินมาคืนด้วยการซื้อสินค้าของคุณ     คุณคงไม่สามารถร่ำรวยขึ้นจากการขายสินค้าที่ชายคนนั้นที่มาซื้อไปในราคาแพง     การค้าชนิดนี้มีแต่จะทำให้แย่ลง  แต่มันจะช่วยให้ตระหนักถึง”กำไร”ที่แท้จริงได้     จินตภาพของกำไรที่นักเศรษฐศาสตร์ชนชั้นนายทุนใช้อธิบายนี้    มันได้ปกปิดความจริงของการขูดรีด ในระบอบทุนนิยมไว้จนทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไป    ประหนึ่งว่า..เงินที่งอกเงยมานั้นมิใช่เกิดจากการขูดรีดแรงงานส่วนเกินของกรรมกร     หากแต่เป็นความสามารถในการประกอบ การของนายทุนเอง
หลักการของเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ได้เรียบเรียงมานี้เป็นแค่เพียงความรู้เบื้องต้นเท่านั้น    ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่มวลชน       ส่วนที่ลึกกว่านี้จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองเพื่อยกระดับคุณภาพความรับรู้ของเราให้สูงขึ้นไปอีก     ในหมู่คนก้าวหน้า..ความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์การเมืองได้ถูกละเลยไปนาน     เลนินได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมากโดยได้กล่าวไว้ว่า  

"...ก่อนที่ชนชั้นกรรมกรจะก้าวขึ้นไปเป็นชนชั้นปกครอง (โดยการปฏิวัติ) จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจถึงระบบและวิธีการจัดการที่สลับซับซ้อนของระบอบทุนนิยมให้ดีเสียก่อน..."

  ผู้เรียบเรียงจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารชิ้นนี้คงจะมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นศึกษา

1 comment:

  1. Model 1 babyliss nano titanium flat iron | TITNA MARTIN ATI HADR
    Model 1 babyliss nano titanium rod in femur complications titanium titanium ore flat iron. Manufacturer: titanium armor MARTIN MARTIN titanium uses MARTIN schick quattro titanium · Description: Model 1 MARTIN MARTIN

    ReplyDelete